[Review] The Flash Season 2: First Half Season – เปิดประตูสู่ Multiverse

แนวทางการทำซีรีส์ระหว่าง Marvel กับ DC นั้นแตกต่างกัน เพราะในขณะที่ Marvel สร้างซีรีส์และหนังให้อยู่ในจักรวาลเดียวกัน และมีเนื้อหาที่เชื่อมต่อกัน DC กลับเลือกที่จะแยกจักรวาลหนังและซีรี่ส์ออกจากกัน เพราะมีซีรี่ส์ที่ประสบความสำเร็จมาก่อนหนัง นั่นคือ “Arrow” และแม้แต่ในจักรวาลซีรี่ส์ด้วยกันเอง DC ก็แยกย่อยไปอีกหลายจักรวาลขึ้นอยู่กับว่าฉายช่องไหน หรือช่องเดียวกันแต่แนวเรื่องต่างกัน ก็ถือว่าเป็นคนละจักรวาลกันอีก เช่นในกรณีของ “iZombie” กับ “The Flash” ซึ่งในบรรดาซีรี่ส์ DC ที่อาจจะนับเป็นจักรวาลเดียวกันได้ก็คือ “Arrow” “The Flash” “Constantine” (ซึ่งถูก Cancel ไปแล้ว) และที่กำลังจะมาคือ “DC’s Legend of Tomorrow” (อาจรวม Vixen ที่เป็น Short Animation ที่ฉายใช่ช่วงระหว่างรอ The Flash ขึ้นซีซั่นใหม่ด้วยก็ได้)

อย่างไรก็ตาม แม้จะแยกย่อยเป็นหลายจักรวาล แต่ก็ใช่ว่าโอกาสที่ทั้งหนังและซีรี่ส์จะมารวมกันจะไม่มีเลยเสียทีเดียว เพราะใน “The Flash” ซีซั่น 2 นี่เองที่เปิดประตูสู่การรวมจักรวาลไว้ด้วยกัน ด้วยการเสนอแนวคิด “Multiverse”

“The Flash” เริ่มต้นขึ้นจากการเป็นตัวละครรับเชิญใน “Arrow” ที่เป็นซีรี่ส์ DC ที่ดังสุดในขณะนั้น (ก็ตอนนั้นทำอยู่เรื่องเดียว) จนพัฒนามีซีรี่ส์เป็นของตัวเอง และตอนนี้ก็อยู่ในช่วงพักครึ่งฤดูหนาวของซีซั่นที่ 2 แล้ว ซึ่งคงไม่เกินเลยไปนักถ้าจะกล่าวว่า The Flash ณ ขณะนี้ได้กลายเป็นซีรี่ส์ DC ที่ได้รับความนิยมสูงสุด แทนที่ Arrow ไปแล้ว

สำหรับในซีซั่น 2 นี้ โดยรวม The Flash ยังคงสไตล์เดิมแบบซีซั่นแรกไว้ คือการเป็น Superhero แนวสดใส มีมุขตลกอยู่เรื่อยๆ อาจมีดราม่าบ้าง แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงอะไร ซึ่งแทบจะตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับแนวทางจักรวาลหนังของ DC ที่ใครๆ ก็ว่าสายดาร์กเต็มที่ ตรงนี้ทำให้ The Flash มักโดนโจมตีว่า “หน่อมแหน้ม” มาก (แต่อย่าไปพูดแบบนี้กับหนัง Marvel ละ 555) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สนุกของ The Flash และยังทำได้ดีมาจนถึงซีซั่นนี้ก็คือ การกระจายบทบาทที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครรองในเรื่องไปด้วย ขณะที่ตัวร้ายหลักๆ ของเรื่อง ก็ดู Strong มาก ยิ่งเมื่อบวกกับการผูกเรื่องในส่วนของ Plot หลักได้น่าติดตาม มีการค่อยเฉลยๆ ปมออกมาเรื่อยๆ ในแต่ละตอน และการที่สามารถ “จัดเต็ม” ได้เต้มที่ ไม่ต้องกั๊กเพราะกังวลว่าเนื้อเรื่องจะไปตีกับหนัง จึงทำให้ The Flash นั้นดูสนุก โดยเฉพาะกับคนที่เป็นคอคอมมิคหรือคอ Superhero

เนื้อหาใน First Half Season หรือ 9 ตอนแรกของซีซั่น 2 นี้ ดูจะมีลักษณะของการ “ปูเรื่อง” มากกว่าจะ “เอาจริง” โดยซีรี่ส์ใช้เวลาในแต่ละตอนในการอธิบายเรื่อง “Multiverse” หรือจักรวาลคู่ขนาน ซึ่งเป็นผลมาจากหลุมดำที่เกิดขึ้นในตอนจบซีซั่นแรก รอยแยกระหว่างจักรวาลนี้ ส่งผลให้เกิดข้ามจักรวาลกัน (แต่ในเรื่องจะพูดถึงแค่ 2 จักรวาลหลัก) ทำให้ The Flash “Barry Allen” ได้พบกับ The Flash “Jay Garrick” จากอีกจักรวาลหนึ่ง รวมถึงศัตรูคนใหม่ที่เป็นบอสหลักของซีซั่นนี้อย่าง “Zoom” ซึ่งในตอนที่ 6 “Enter Zoom” ซึ่งถือเป็นตอนเปิดตัว Zoom อย่างเป็นทางการนั้น ถือเป็นตอนที่สนุกที่สุดของซีซันนี้ (ณ ตอนนี้) เพราะสามาถแสดงถึงความน่ากลัวของ Zoom ออกมาได้เต็มเปี่ยม แบบที่ตัวร้ายอย่าง Reverse Flash ในซีซั่น 1 กลายเป็นเด็กๆ ไปเลย ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการตั้งทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับตัวตนของ Zoom ที่ทำให้เกิดความรู้สึกน่าติดตามว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่

อย่างที่ว่าไว้ ครึ่งแรกนี้เน้นที่การปูเรื่องมากกว่า นอกจาก Zoom กับ Jay Garrick แล้ว ซีรี่ส์ยังใช้ตอนที่ 3 “Family of Rogues” และตอนที่ 9 “Running to Stand Still” เพื่อปรับภาพลักษณ์ของ “Captain Cold” หนึ่งในตัวร้ายขาประจำของซีรี่ส์ เพื่อปูทางให้เขากลายเป็นตัวเอกในซีรี่ส์ภาคแยก “DC’s Legend of Tomorrow” ต่อไป หรือตอนที่ 4 “The Fury of Firestorm” ก็มีขึ้นเพื่อหาคู่หูคนใหม่ให้กับ Dr.Stein เพื่อจะได้รวมเป็น Firestorm หลังจากคู่หูคนเก่าตายไป (หรือจริงๆ ก็คือไม่ต่อสัญญาเล่นในซีซั่น 2) ตอน Crossover กับ Arrow อย่างตอน 8 “Legend of Today” ก็เน้นเปิดตัว Hawkman กับ Hawkgirl เป็นหลัก กระทั่งตอนสุดท้ายของครึ่งแรกอย่างตอน 9 “Running to Stand Still” ก็มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเปิดตัว “Wally West” ที่ตามคอมมิคถือเป็น Flash คนที่ 2

เพราะในครึ่งแรกของซีซั่น 2 เน้นที่ปูเรื่อง จึงยังทำให้รู้สึกไม่สุดเท่าไหร่ แต่ก็เชื่อว่าด้วยวัตถุดิบที่เผยให้เห็นในครึ่งแรก น่าจะทำให้ในครึ่งหลังของซีซั่นนี้ มีอะไรเล่นได้มากพอควร และใส่จัดเต็มได้เต็มที่ โดยเฉพาะตัวร้ายอย่าง Zoom และประเด็นโลกคู่ขนาน ที่น่าจะนำพาเราไปเจอกับ Barry Allen ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่เขาไม่ใช่ The Flash ซึ่งนั่นน่าจะทำให้เรื่องน่าติดตามไม่น้อย

อีกอย่างการที่ The Flash ในซีซั่นนี้เปิดเรื่อง Multiverse ขึ้นมา นั่นทำให้โอกาสที่ในอนาคต หนังกับซีรี่ส์ของ DC จะรวมตัวกันไม่ใช่เรื่องไกลเกินอีกต่อไป เพราะเราอาจจัดวางจักรวาลหนังในฐานะ อีกหนึ่งในจักรวาลคู่ขนาน โดยใน The Flash ตอนนี้ค้นพบว่าอาจมีถึง 52 จักรวาลคู่ขนาน (เลข 52 นี้ อิงมาจากตัวเลขจำนวนจักรวาลในคอมมิค DC ปัจจุบันด้วย) และหาก DC ต้องการให้แต่ละจักรวาลมาเจอกันเมื่อไหร่ ก็แค่ผูกเรื่องให้มีการเดินทางข้ามจักรวาลมาเจอกันเท่านั้น ยิ่งตอนนี้ในจักรวาลหนังเองก็มี The Flash ของตัวเองด้วย ทำให้ในอนาคต DC อาจใช้ The Flash จากตัวซีรี่ส์และหนังนี่แหละ เชื่อมจักรวาลเข้าหากัน เมื่อนั้นเราอาจเห็น The Flash 2 คนมาวิ่งแข่งกันก็ได้
 

จุรีพร โนนจุ่น
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)