[Review] Tonight, At Romance Theater – เรารักหนัง และหนังก็รักเรา

“เคนจิ” (เคนทาโร่ ซากากูจิ) เป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้กำกับ เขามักใช้เวลาว่างไปกับการดูหนังขาวดำเก่าๆ เรื่องหนึ่งที่มี “เจ้าหญิงมิยูกิ” (ฮารุกะ อายาเสะ) เป็นบทนำ เคนจิตกหลุมรักตัวละครนี้ และแล้ววันหนึ่งเจ้าหญิงก็ออกมาจากหนัง และมีตัวตนขึ้น อย่างไรก็ตาม มีความลับบางอย่างที่เจ้าหญิงก็ยังไม่ได้กับเคนจิ และเป็นความลับที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่

“Tonignt, at Romance Theater” จะเข้าฉาย 3 พ.ค. แต่ได้รับโอกาสไปดูรอบพิเศษก่อน ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้สนใจหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แม้หลังๆ จะชอบดูพวกหนังญี่ปุ่นเยอะขึ้นก็ตาม อาจเพราะไม่ได้มีดารานำที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ หรือเนื้อเรื่องจำพวกหลุดมาจากหนังนี่ก็เล่นมาหลายเรื่องละ แม้กระทั่งการหลุดมาจากหนังขาวดำ ก็เคยมีละครไทยเรื่องหนึ่งเอามุขแบบนี้มาใช้เหมือนกัน อันที่จริง เพิ่งจำชื่อหนังได้ตอนได้จะไปดูนี่แหละ 555

อาจเพราะไม่ได้คาดหวัง เลยรู้สึกว่าพอดูแล้วได้เกินกว่าที่คาดแฮะ จริงๆ ในส่วนของ Part ความโรแมนติกนั้นค่อนข้างธรรมดามากทีเดียว คือไม่รู้สึกอินว่าทำไมเคนจิถึงหลงรักเจ้าหญิงขนาดนั้น ตั้งแต่ยังอยู่ในหนัง หรือทำไมเจ้าหญิงก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเคนจิ แต่ส่วนที่ทำให้เหนือคาดจริงๆ คือ บรรยากาศของเรื่องที่อบอวลไปด้วยความรักในวงการหนังของคนสร้าง ซึ่งหลายๆ อย่างคนที่เป็นคอหนังจะเข้าใจและรู้สึกกับมันได้มากทีเดียว

หนังดำเนินเรื่องในช่วงยุค 60’s ซึ่งเดาเอาว่าน่าจะเป็นยุคที่อุตสาหกรรมหนังญี่ปุ่นกำลังไปได้ดี มีการสร้างโรงถ่ายขนาดใหญ่ เพื่อใช้ถ่ายทำหลายๆ เรื่องพร้อมกัน เป็นยุคที่ CG ยังไม่มี ดังนั้น การสร้างฉากหลายๆ ฉากจึงมีทั้งการวาดขึ้นมาเอง และใช้อุปกรณ์ต่างๆ จนทำให้ได้ภาพที่ต้องการ และช่วงนั้นถ้าใครเป็นดาราดังที่มีชื่อเสียง ก็จะได้รับการปรนนิบัติอย่างดี จนบางทีดาราคนนั้นมีอำนาจในการกำหนดบทเองด้วยซ้ำไป ว่าไปมันก็คล้ายๆ กับวงการหนังยุคนั้นในหลายๆ ประเทศนั่นแหละ

ส่วนตัวชอบดูพวกหนังเก่าๆ เพราะมันได้ทึ่งไปกับการสรรค์สร้างในยุคที่ไม่ได้มีคอมพิวเตอร์มาช่วยทำให้ง่ายขึ้นแบบปัจจุบัน หนังเรื่องนี้พยายามถ่ายทอดมุมนั้นให้เราเห็น เป็นการบอกรักวงการหนังของคนสร้าง และยิ่งไปกว่านั้นหนังเรื่องนี้ยังเป็นเหมือนกระบอกเสียงตัวแทนหนังที่บอกรักกับคนดูเช่นกัน

หนังเจ้าหญิงจอมแก่นของเจ้าหญิงมิยูกิในเรื่องนั้น เป็นหนังขาวดำในยุคก่อนสงครามโลก ซึ่งแม้จะสร้างความสุขให้กับคนดูอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่พอโลกเปลี่ยนเข้าสู่ยุคหนังสี ก็ไม่มีใครสนใจหนังขาว-ดำที่ใช้เอฟเฟกต์แบบล้าสมัยอีกแล้ว (เช่น ฉากสู้กับสัตว์ประหลาด ที่ดูยังไงก็หุ่นชัดๆ แถมสลิงชัดเจนอีก)

เราจึงชอบเหตุผลที่ว่า ไม่เพียงแต่เราที่กำลังดูหนัง แต่หนังก็กำลังดูเราเหมือนกัน หนังอาจถูกสร้างมาเพื่อให้ความสุขกับคนในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่นานคนก็พร้อมจะลืมมัน อาจมีหนังเพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถอยู่ข้ามพ้นสมัยมาได้ หากตัวหนังมีชีวิต ก็คงเป็นแบบเจ้าหญิงมิยูกิ แม้มีเพียงคนเดียวที่ยังดูหนังของเธอ ในวันที่ไม่ใช่ยุคของเธอ แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว

ชอบในความวินเทจ ในฉาก และในสีสันของเรื่อง เหมือนหนังจะพยายามเน้นสีสันเป็นพิเศษ เพราะสีสันคือโลกใหม่ของเจ้าหญิงมิยูกิที่เดินทางออกมาจากหนังขาว-ดำ หรืออีกในทางหนึ่งการที่หนังเน้นสีสันเป็นพิเศษ ก็อาจเป็นการสื่อว่า เพราะหนังคือสิ่งที่สร้างความสุขให้กับเรา แต่งเติมสีสันให้กับชีวิตเรา แม้จะเป็นเพียงแค่หนังขาว-ดำก็ตาม

จุรีพร โนนจุ่น
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)