คนเราอาจไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ แต่สำหรับ “คางูยะ” เธอเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ และนี่คือเรื่องราวของ “เจ้าหญิงคางูยะ” เรื่องราวที่สร้างจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอน “ไม่เคยอ่าน” (ขนาดตำนานพื้นบ้านไทยยังไม่ค่อยรู้เลย) แต่หลังจากดูเรื่องนี้เสร็จ ก็ลองไปหาเรื่องย่อตำนานต้นเรื่องมาอ่านดู ก็พบว่า “The Tale of Princess Kaguya” ดำเนินเรื่องเหมือนในตำนานกว่า 80% ซึ่งตำนานญี่ปุ่น ก็ไม่ต่างจากตำนานของชาติอื่นๆ นัก คือดำเนินเรื่องแบบเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อน บางอย่างเหมือนอยากจะใส่ก็ใส่มา เน้นสะท้อนภาพชีวิตมากกว่าจะมุ่งสื่อสารประเด็นใดประเด็นหนึ่งแบบพวกนิยายปัจจุบัน ดังนั้น ในแง่ของเนื้อเรื่อง The Tale of Princess Kaguya อาจไม่มีอะไรที่พิเศษนัก
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกมาตลอดกับหนังจากสตูดิโอจิบลิส่วนใหญ่คือ “ไม่อิน” กับเนื้อเรื่อง แม้จะรู้สึกเช่นเดียวกับหลายคนว่า “หนังจิบลิ” มีการสอดแทรกเนื้อหาสัญลักษณ์เข้าไปเสมอ แต่ส่วนตัวก็รู้สึกเป็นการแทรกที่ดูจงใจ และไม่ค่อยเนียนกับเนื้อเรื่องโดยรวมเท่าไหร่ อาจจะยกเว้น “The Wind Rises” ที่มีความเป็น “หนัง” สูง ทำให้เป็นไม่กี่เรื่องของจิบลิที่รู้สึกสนุกไปตัวเนื้อหาของหนังได้ สำหรับ “The Tale of Princess Kaguya” แม้จะสร้างจากตำนาน และดัดแปลงจากตำนานไม่มากนัก แต่ด้วยความวิธีการเล่าเรื่องของจิบลิค่อนข้างเป็นสไตล์นี้อยู่แล้ว ทำให้ในแง่ของเนื้อเรื่อง จึงยังรู้สึกกับเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆ คือยังไม่ค่อยอินนัก โดยเฉพาะฉากความรักโรแมนติก ที่เป็นจุดติดขัดของหนังจากสตูดิโอนี้ในแทบทุกเรื่อง ก็ยังคงติดขัดเหมือนเดิม แต่ในแง่การสอดแทรกมุขตลกเข้าไป ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว
แม้เนื้อเรื่องจะไม่พิเศษนัก แต่ในงานด้านภาพกลับตรงกันข้าม เพราะนี่คือความสุดแสนพิเศษ ที่ขนาดทำให้เราลืมเนื้อเรื่องที่ออกแนวเอื่อยๆ ไปได้เลย ที่พิเศษเพราะ The Tale of Princess Kaguya เลือกใช้เทคนิคการวาดแบบ “สีน้ำ” แทนที่จะเป็นภาพการ์ตูนวาดเส้น 2D สดใสแบบเดิม เมื่อผสมกับสไตล์การเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหวเป็นเอกลักษณ์ของจิบลิ ทำให้ภาพที่ออกมาสวยงามตรึงตาตรึงใจได้ ราวกับดูภาพศิลปะโบราณหลายๆ ภาพที่นำมาเชื่อมต่อกันกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว โดยเฉพาะฉากชนบท ป่าไม้ ที่สวยงามมากทีเดียว และสไตล์ภาพแบบนี้ยังไปด้วยกันได้ดีกับแนวเรื่องที่เป็นเรื่องราวในอดีตด้วย
หากเป็นแฟนที่ชอบเนื้อหาและการดำเนินเรื่องแบบสไตล์จิบลิอยู่แล้ว เชื่อมั่นว่าจะชอบเรื่องนี้แน่นอน แต่หากไม่คุ้น ไม่ชอบกับการเดินเรื่องสไตล์แบบนี้ (ซึ่งส่วนตัวคือหนึ่งในนั้น) ก็ยังเชื่อมั่นว่าน่าจะสนุกไปเรื่องนี้ได้ เพราะแค่ลำพังงานด้านภาพก็ดึงสายตาเราได้อยู่หมัด ยิ่งถ้าได้ดูในโรงใหญ่เห็นภาพชัดๆ ด้วย เรียกว่าเป็นงานด้านภาพช่างโดดเด่น จนยกให้เป็นหนังจิบลิที่ชอบมากที่สุดไปเลย