[Review] The Revenant – ลีโอคนถึก

เมื่อต้นปี 2014 หลังจาก “Leonardo DiCaprio” ต้องอกหักอีกครั้ง เมื่อพลาดรางวัล Oscar สาขานำชายในปีนั้นไป YAHOO! Movies ได้เขียนบทความวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ Leo ยังไม่สามารถชนะ Oscar ได้สักที แม้จะเข้าชิงมาแล้วหลายครั้ง (6 Reasons Leonardo DiCaprio has never Won an Oscar) ว่ามีอยู่ 6 ประการ คร่าวๆ คือ 1) โชคไม่ดี คู่แข่งในปีนั้นดูโดดเด่นกว่า 2) เส้นทางอาชีพดูดีเกินไป 3) ตัวละครขาดกิมมิคที่ให้จดจำ 4) งานที่เล่นได้โดดเด่นมักเป็นหนังป๊อปคอร์นที่ไม่ใช่แนว Oscar 5) ดาราสมทบในเรื่องแย่งซีน และ 6) ภาพลักษณ์แบบ Teen Idol ที่ยากสลัดหลุด

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ (2016) อาจเป็นปีที่การรอคอยของ Leo สิ้นสุดลง เพราะไม่ว่าโพลจากสำนักไหนต่างก็ระบุว่า Leo เป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้า Oscar สาขานำชายยอดเยี่ยมจาก “The Revenant” แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่าง The Revenant กับหนังเรื่องอื่นๆ ของ Leo ละ ทำไมปีนี้จึงคาดกันว่า Leo น่าจะได้กัน

ถ้าเราลองย้อนดูเหตุผล 6 ข้อที่ YAHOO! Movies ยกมา จะสังเกตเห็นได้ว่า Leo พยายามปรับเปลี่ยนหลายอย่าง เพื่อให้การแสดงของเขา (หรืออย่างน้อยก็สายตาที่มองเขา) แตกต่างไปจากเดิม เริ่มต้นจากลุค ที่ครั้งนี้มาเต็มทั้งหนวด เครา ผม ตัวใหญ่ขึ้น จนดูไม่ต่างจากลุงข้างบ้าน เพื่อต้องการภาพลักษณ์เดิมๆ ที่เป็นชายดูดี หล่อ สปอร์ต ลงไปให้ได้ ลักษณะก็บทก็เปลี่ยนมาเล่นเป็นคนที่พูดน้อย สื่อสารด้วยท่าทางและสีหน้าแทน แถมเนื้อหาของ The Revenant ที่เกี่ยวกับการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด แทรกไปด้วยความรักระหว่างพ่อลูก น่าจะเป็นสไตล์ที่ Oscar ชอบ ทั้งยังเป็นผลงานกำกับของ “Alejandro G. Iñárritu” ที่เคยได้ Oscar ผู้กำกับจาก Oscar มาเมื่อปีก่อนอีก

จุดสำคัญสุด คือการที่ Leo พยายามสร้างกิมมิคให้กับการแสดงของเขา เพราะอย่างหนึ่งที่ Oscar ชอบนอกจากฝีมือการแสดงแล้ว ก็คือการทุ่มเทกับบทและการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อบท เช่น Matthew ลดน้ำหนักรับบทคนติดเอดส์ใน Dallas Buyers Club, Colin ในฝึกพูดติดอ่างใน The King’s Speech, Jamie Foxx ฝึกเป็นคนตาบอดเพื่อรับบทใน Ray ซึ่งสำหรับ Leo ใน The Revenant เราจะได้เห็นการสร้างกิมมิคด้วยการโชว์ความ “ถึก” ของเขา เพราะตัวบทนั้นเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดท่ามกลางป่าอันหนาวเหน็บ เราจึงได้เห็น Leo เต็มไปด้วยรอยแผล (เมคอัพ) คลานถูลู่ถูกังไปตามพื้น เอาหน้าคลุกดิน คลุกหิมะ จับปลาสดๆ เชือดเนื้อสดๆ มากิน ไปจนถึงเข้าไปหมกตัวอยู่ในท้องม้า

นอกจากนี้ การที่ Leo พลาด Oscar มาหลายครั้ง อย่างน้อยมันก็เป็นข้อดีในการช่วยสร้าง Story ให้คนเอาใจช่วย Leo ให้ได้ Oscar สักทีหลังพลาดมาหลายครั้งแล้ว เวที Oscar บางที Story เหล่านี้ก็มีผลไม่น้อยเหมือนกัน ที่เห็นได้ชัดคือกรณี Matthew ไม่มีใครกังขาในฝีมือการแสดงของเขาใน Dallas Buyers Club แต่ที่ปีนั้นเขามาแรงมาก ส่วนหนึ่งก็มาจาก Story ส่วนตัวที่เคยเป็นดาราดัง ตกลงไปเป็นดาวดับ และกลับขึ้นมาอีกครั้งในภาพลักษณ์ใหม่ได้ เรียกว่า Leo มีปัจจัยครบที่น่าจะทำให้เขาเข้าใกล้ Oscar ปีนี้ได้มาก แถมคู่แข่งปีนี้ก็ดูไม่แข็งเท่าปีก่อน อย่าง Eddie หรือ Michael ที่เล่นดีมากแต่ตัวหนังก็ไม่ได้แรงมากเท่าไหร่ ทำให้ไม่ค่อยมีกระแสส่ง

อย่างไรก็ตาม ถ้าถามความเห็นส่วนตัวแล้ว แม้ว่าที่ผ่านมาจะเชียร์ให้ Leo ได้ Oscar แค่ไหนก็ตาม แต่มันไม่ควรจะใช่ในปีนี้ เพราะ The Revenant ไม่ใช่งานพีคสุดของ Leo และเอาเข้าจริงการแสดงของ Leo ก็ไม่ได้ดูโดดเด่นกว่าผู้เข้าชิงคนอื่นมากนัก ขนาดในหนังเองหลายครั้งที่เรารู้สึกว่า “หมี” กับ “Tom Hardy” ออกจะทรงพลังกว่าด้วยซ้ำ

ไม่ใช่ว่า Leo เล่นไม่ดี เขาเล่นดีเลยละ แต่มันมีกำแพงบางอย่างที่ Leo ยังก้าวผ่านไปไม่ได้ นั่นคือการกลืนหายไปกับตัวละคร เสมือนว่าไม่ได้แสดง ยิ่งใน The Revenant นี่ถอยมาอยู่ข้างกำแพงเลย ยังไม่คิดจะข้ามไปด้วยซ้ำ (เรื่องที่คิดว่า Leo ก้าวผ่านตัวเองไปได้มากสุด Django Unchained แต่ดันไม่ได้เสนอชื่อเข้าชิงซะงั้น) เมื่อดูจบแล้ว สุดท้ายเราจะจำได้ว่านั่นคือ Leo แต่แทบจดจำ “Grass” ตัวละครที่เขาเล่นไม่ได้ จุดสำคัญน่าจะเพราะในขณะที่ Leo ทุ่มเททางร่างกาย โชว์ความถึก และหน้านิ่วคิ้วขมวดเส้นเอ็นปูดโปนเต็มที่ แต่สายตาตามเส้นเอ็นที่ปูดมาไม่ทัน มันจึงรู้สึกว่า น่าจะเจ็บ น่าจะเคียดแค้นได้มากกว่านี้สิ ความรักระหว่างพ่อลูกก็ดูไม่อินเอาเสียเลย คนเดียวในเรื่องที่รู้สึกกลืนไปกับตัวละครได้สุดๆ กลับเป็น Tom Hardy ที่แค่สายตา ก็สัมผัสได้ว่าเลวจริง น่ากลัวจริง เป็นบุคคลที่ไม่แน่จริงอย่าได้ไปคิดหยามเด็ดขาด เพียงแค่ Tom ไม่มีฉากให้โชว์ความถึกเท่า Leo ก็เท่านั้น

สิ่งหนึ่งที่รู้สึกคือ The Revenant เป็นเหมือนงาน “โชว์ของ” ว่า “ตรูทำได้” ของทั้งตัวผู้กำกับและตัว Leo เอง ตัวหนังพยายามเล่นท่ายากในการถ่ายทำ ทั้งฉาก วิว Long Take การหมุนกล้อง การจัดแสงธรรมชาติ หนังเต็มไปด้วยความทะเยอะทะยาน ความบ้าคลั่ง และแน่นอนความถึก สิ่งเหล่านี้มันสร้างความตืนตาตื่นใจในการรับชมครั้งแรกได้มาก โดยเฉพาะงานด้านภาพ กับวิวภูเขาป่าไม้ในช่วงหิมะโหมกระหน่ำ ที่ให้ความรู้สึกหนาวถึงกระดูกเลยทีเดียว เพียงแต่ระยะเวลา 2.5 ชั่วโมงของเรื่อง มันยาวเกินไป เมื่อเทียบกับเนื้อเรื่องที่ไม่มาก ทวทัศน์และความถึกอาจดึงความสนใจเราไว้ได้ในช่วงแรก แต่พอพ้นช่วงตื่นตาตื่นใจไปแล้ว มันก็ดูไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ หนังไปเน้นท่ายากเกินไป แต่ท่าเบสิคๆ อย่าง การสร้างความอินกับอารมณ์ของตัวละคร กลับดูไม่เน้นเท่าไหร่ ทั้งที่ตอน Birdman ของผู้กำกับคนเดียวกันนี้ เราสามารถอินไปกับเรื่องราว ตัวละคร พร้อมๆ กับตื่นตากับการโชว์ One Long Take ได้

The Revenant ไม่ต่างจากการไปเที่ยวที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ ที่ตอนแรกก็ดูตื่นตาดี แต่พอดูจบก็กลับ และอาจไม่อยากไปเที่ยวซ้ำอีก เพราะความตื่นเต้นมันหมดไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้าใครชอบ Leo และไม่มีปัญหากับการนั่งดู Leo โชว์ความถึกตลอด 2.5 ชั่วโมงได้ ก็น่าจะชอบ The Revenant ได้ไม่ยาก

Share

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
จุรีพร โนนจุ่น
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)