[Review] Birdman – คนแสดง / คนวิจารณ์ / คนสำคัญ (Spoil)

 
“Micheal Keaton” อาจเป็นนักแสดงที่อยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน เล่นหนังมาอย่างหลากหลาย แต่ถ้าจะพูดถึงหนังที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและเป็นที่จดจำมากที่สุดคงไม่พ้น “Batman” ฉบับ Tim Burton จำนวน 2 ภาคที่ออกฉายในปี ค.ศ.1989 และ 1992 Batman ทำให้ Micheal กลายเป็นนักแสดงระดับแนวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากจบ Batman Return และเขาตัดสินใจไม่เล่นต่อใน Batman Forever ชีวิตการแสดงของเขาก็ดูเหมือนลุ่มๆ ดอนๆ กลายเป็นว่าคนดู (รวมถึงนักวิจารณ์) ติดภาพเขาที่เป็น Batman เมื่อไม่สามารถสลัดหลุดพ้น ความพยายามในการฉีกไปเล่นบทอื่นๆ จึงได้รับผลตอบรับที่ไม่ดีนัก และ Micheal ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เคยยิ่งใหญ่แต่ปัจจุบันตกอับ จนกระทั่ง “Birdman” ที่ดูเหมือนจะทำให้กราฟชีวิตนักแสดงของเขากลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง

ที่ต้องร่ายประวัติของ “Michael Keaton” กันแบบนี้ เพราะนี่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ดู “Birdman” ได้สนุกและอินมากขึ้นทีเดียว เพราะเรื่องราวของ “Riggan Thomson” นักแสดงที่เคยรับบทซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดัง แต่ปัจจุบันตกอับ และต้องการกลับมาฉายแสงอีกครั้งผ่านการเล่น “ละครบรอดเวย์” ก็คือความตั้งใจในการยั่วล้อชีวิตจริงของ Michael Keaton ผู้รับบทนี้ชัดๆ ขนาดตัว Birdman ที่กลายเป็นภาพจำที่คนทั่วไปมอง Riggan ก็ล้อมาจาก Batman ที่ Michael เคยเล่นจริงๆ นี่จึงเป็นหนังที่เลือกนักแสดงได้อย่างเหมาะสมที่สุด หรือพูดอีกแง่หนึ่งคือ Birdman สร้างมาเพื่อ Michael Keaton อย่างแท้จริง และด้วยเหตุที่หนังเจาะไปที่เรื่องราวของดาราตกอับ 

ในยุคสมัยที่หนังซุปเปอร์ฮีโร่ยังถูกมองว่าด้อยค่าในแง่คุณภาพ และทำมาเพื่อเอาใจตลาดเป็นหลัก (จริงๆ สมัยนี้ก็ยังมีมองแบบนั้นอยู่แต่ไม่เท่ากับยุคก่อน) การได้รับบท Birdman ของ Riggan แม้จะทำให้เขาโด่งดัง เป็นที่รู้จัก แต่ไม่ได้ช่วยต่อยอดอะไรในชีวิตการแสดงนัก คนดูและนักวิจารณ์มองว่าเขาเป็นได้แค่ ฺBirdman เท่านั้น แม้กระทั่่งตัว Riggan เองก็โดนความเป็น Birdman ตามหลอกหลอนมาตลอด การสร้างละครเวทีพ่วงด้วยตำแหน่งเขียนบทและแสดงนำเรื่อง “What We Talk About When We Talk About Love” จึงไม่ใช่แค่ความพยายามกลับเข้ามาอยู่ในสปอร์ตไลท์เท่านั้น แต่ยังเป็นการพิสูจน์ให้คนอื่นรวมถึงตัวเขาเองให้เห็นว่า เขาสามารถเป็นได้มากกว่า “Birdman”

แน่นอนว่าการกลับเข้ามาในวงการของ Riggan ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ในขั้นแรกเขาต้องต่อสู้กับเสียงในหัวเขาเอง ซึ่งก็คือเสียง Birdman ตัวละครที่กลายมาเป็นความหลอกหลอนของเขา ในขณะที่ Riggan พยายามอย่างยิ่งที่ก้าวพ้นขีดจำกัดตัวเอง แต่เสียง Birdman ก็คอยบอกว่า Birdman คืออย่างเดียวและอย่างดีที่สุดที่ Riggan สามารถจะเป็นได้ แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคเดียว ในขั้นต่อมา Riggan ต้องเผชิญกับ “Mike Shiner” (Edward Norton) นักแสดงร่วมเจ้าปัญหา

ในขณะที่ Riggan อาจเป็นอดีตซุปเปอร์สตาร์ที่ต้องการปรับลุคตัวเองให้เป็นศิลปิน แต่ Mike Shiner ถือตัวว่าเป็นศิลปินอย่างเต็มรูปแบบ การแสดงสำหรับเขาคือจิตวิญญาณ ทุกอย่างต้องทุ่มเทแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ว่าจะเมาจริง เปลี่ยนสีผิวจริง ไปจนถึงจะมี Sex จริง ไม่ใช่แค่การแสร้งทำตัวเป็นคนอื่นบนเวทีละครเท่านั้น และเขาพร้อมที่จะอาละวาดหากมีอะไรที่ขัดขวางการแสดงออกทางจิตวิญญาณของเขา สำหรับนักวิจารณ์เขาอาจเป็นสุดยอดศิลปินสาขาการแสดง แต่สำหรับคนทำงานด้วยอย่าง Riggan นี่คือฝันร้ายชัดๆ แต่ความน่ารำคาญของ Mike เราก็ได้เห็นการจิกกัดของตัวหนังที่มีแต่นักแสดงแนวติสท์ตัวพ่อพวกนี้ว่าบางทีก็จิตวิญญาณสูงส่ง จนมีปัญหาในชีวิตจริง กลายเป็นว่าคนแบบ Mike เป็นประเภทสลัดการแสดงไม่พ้น ไม่ต่างอะไรกับที่ Riggan สลัดภาพ Birdman ไม่พ้นเหมือนกัน แม้ว่าทั้งคู่จะยืนอยู่บนมุมที่แตกต่างกันมากก็ตาม ฝั่งหนึ่งเป็นตัวแทน Pop Culture ขณะที่อีกฝั่งก็ Indy ตัวพ่อมาเลย

 
(ส่วนนี้มี Spoil) 
   
ไม่เพียงแต่จิกกัดเรื่องชีวิตนักแสดงนัก Birdman ยังไม่ลืมอีกหนึ่งผู้เกี่ยวข้องสำคัญนั่นคือ “นักวิจารณ์” เราคงพอเดาได้ว่าหนังคงประชดประชันเรื่องที่นักวิจารณ์เอาแต่วิจารณ์โดยไม่ใส่ใจถึงความตั้งใจของผู้สร้าง หรือไม่ก็นั่งเทียนเขียน ซึ่งเป็นข้อโต้เถียงที่มักพบเห็นบ่อยระหว่างผู้สร้างกับนักวิจารณ์ แต่ใน Birdman เรายังได้เห็นการวิจารณ์นักวิจารณ์ (และในที่นี่ก็กำลังวิจารณ์การวิจารณ์นักวิจารณ์นั้นอีกที) ไปถึงขั้นมุมมองที่มีต่อศิลปะ นักวิจารณ์บางคนวิจารณ์โดยให้ความสำคัญกับรูปแบบงานมากกว่าเนื้องานจริงๆ เหมือน “Tabitha Dickinson” (Lindsay Duncan) นักวิจารณ์ละครเวทีชื่อดังที่ว่ากันสามารถชี้เป็นชี้ตายละครแต่ละเรื่องได้ ซึ่งแสดงออกว่าจะเขียนวิจารณ์ทำลายล้างละครเวทีของ Riggan เพียงเพราะเขามาจากสายฮอลลีวู้ด เพราะสำหรับนักวิจารณ์คนนี้ ละครเวทีมีความเป็น “ศิลปะ” สูงกว่าฮอลลีวู้ดมาก ซึ่งจะว่าไปก็เทียบเคียงได้กับเหล่านักวิจารณ์ที่ให้คะแนนหนังตลาดน้อยๆ ไว้ก่อน เพียงเพราะเป็นหนังตลาด ไม่ใช่หนังอินดี้แทรกสัญลักษณ์เยอะๆ

แต่ที่เจ็บสุดๆ (อย่างน้อยก็ในความรู้สึกผม) คือช่วงท้ายเรื่อง กลายเป็นว่า Tabitha เปลี่ยนมาเขียนวิจารณ์ชม เพียงเพราะเห็น Riggan เล่นจริง ยิงจริง เจ็บจริง ในละครเวทีของเขา ที่คิดเจ็บสุดๆ เพราะรู้สึกเหมือนกับหนังกำลังจิกกัดเวทีรางวัลช่วงหลังๆ ที่มักชื่นชอบชื่นชมนักแสดงที่ยอมทุ่มเทตัวเอง เปลี่ยนแปลงร่างกายเพื่อให้เข้ากับบท โอเค มันก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้การแสดงแนบเนียนขึ้น แต่ถ้าไม่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น คุณก็จะไม่สนใจส่วนที่เหลือเลยใช่หรือเปล่า แม้ว่าเขาจะเล่นดีแค่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะกับนักแสดงที่ถูก “ตีตรา” ว่าเป็นสายตลาดและไร้ซึ่งความเป็นศิลปินไปแล้ว

นอกเหนือจากนักแสดงตลาดตกอับ นักแสดงติสท์ตัวพ่อ นักวิจารณ์หัวสูงแล้ว ใน Birdman ยังมีเรื่องราวของอีกหลายชีวิตที่น่าสนใจไม่แพ้กัน และล้วนแต่เป็นการล้อเลียน ประชดประชันชีวิตจริงในวงการมายาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “Sam” (Emma Stone) ลูกสาวของ Riggan ที่เป็นตัวแทนลูกสาวดาราดัง แต่ขาดความอบอุ่นจนต้องลงเอยด้วยการเป็นเด็กมีปัญหาจนต้องเข้ารับการรักษาในสถานบำบัด “Jake” (Zach Galifianakis) ตัวแทนคนเบื้องหลังที่ต้องคอยจัดการปัญหาจุกจิกต่างๆ ให้กับดาราที่เกิดอยากมีอารมณ์ศิลปินสูง “Lesley” (Naomi Watts) ตัวแทนของนักแสดงหน้าใหม่ที่มุ่งมั่นกับจุดเริ่มต้นในอาชีพนักแสดงมาก ยิ่งกว่านั้น หนังยังมีความน่าสนใจอีกในแง่ของเทคนิคการถ่ายทำ ที่ใช้วิธีแบบ Long-take โดยถึงขั้นทำทั้งเรื่องให้เสมือนเป็นเทคเดียว (แต่ในการถ่ายทำจริงไม่ได้เทคเดียวทั้งหมด) เพื่อให้คนดูรู้สึกเหมือนกำลังตามติดชีวิตตัวละครอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็ยังดูเข้ากันกับละครเวทีที่คนดูจะละสายตาไปจากเวทีไม่ได้เลย (ยกเว้นช่วงเปลี่ยนองค์) ซึ่งเทคนิคแบบนี้ค่อนข้างยากมากทีเดียว ทั้งในแง่การถ่ายทำ การแสดง และการเขียนบทที่ต้องทำให้ดูไหลลื่น สมกับที่จะให้เป็น Long-take 
 
 
 
ด้วยองค์ประกอบเหล่านั้น ทั้งการแสดง ตัวบท และการถ่ายทำ ก็ไม่แปลกถ้า Birdman จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีขนาดนี้ แต่สำหรับตัวของ Micheal Keaton นั้นยังน่าสงสัยว่าจะไปได้ต่อในวงการมั้ย เพราะแม้ว่า Birdman จะไปได้ดี และตัว Michael ก็ได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก จนน่าจะลบล้านภาพ Batman ไปได้ แต่เพราะ Birdman สร้างมาเพื่อ Michael จึงไม่แน่ใจว่าจะเอาไปต่อยอดกับเรื่องอื่นได้มากน้อยแค่ไหน เพราะอย่างนักแสดงคนอื่นที่ออกแนวเพิ่งกลับมาดังเหมือนกัน ก็ไม่ได้เล่นในหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อนักแสดงคนนั้นโดยเฉพาะตั้งแต่แรก ในขณะที่ชีวิตของ Riggan เข้าสู่จุดที่เขาต้องการแล้ว และเขาเลือกที่จะหยุดทุกอย่างเพื่อให้เป็นตำนาน แต่ชีวิตของ Micheal Keaton ยังคงต้องดูกันต่อไป
 

ความชอบส่วนตัว: 9/10

 

จุรีพร โนนจุ่น
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)