Oscar: Behind the Scenes (2) – เขานับคะแนนกันอย่างไร?
ตอนที่แล้ว เราได้พูดถึงบุคคลที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในรางวัล Oscar ซึ่งก็คือ เหล่าสมาชิก AMPAS มาตอนนี้ เราจะดูว่า วิธีการลงคะแนนและนับคะแนนแต่ละรางวัลนั้นเขาทำกันอย่างไร ซึ่งด้วยความที่ Oscar เป็นรางวัลที่ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เฉพาะในสหรัฐฯ แต่ยังทั่วโลก ทำให้ได้มีการออกแบบวิธีการลงและนับคะแนนที่ซับซ้อนตามไปด้วยเพื่อให้ได้ผลคะแนนที่สะท้อนคุณภาพและความนิยมได้ตรงมากที่สุด
การลงคะแนน
การลงคะแนน (Ballots) รางวัล Oscar นั้นจะทำกัน 2 รอบคือ การลงคะแนนเพื่อหาผู้เข้าชิงในสาขาต่างๆ (Nomination) โดยสมาชิก AMPAS จะมีสิทธิลงคะแนนได้เฉพาะในสาขาที่ตนสังกัดเท่านั้น ยกเว้นสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่สมาชิกทุกคนสามารถลงคะแนนได้ และการลงคะแนนเพื่อหาผู้ชนะในสาขานั้น (Final) ที่สมาชิกมีสิทธิลงคะแนนได้ทุกสาขาหากดูหนังที่เข้าชิงในสาขานั้นครบแล้ว ยกเว้นเฉพาะบางสาขาที่มีกฏกำหนดไว้เฉพาะตัว ได้แก่ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม
ในรอบคัดเลือกผู้เข้าชิง มีลักษณะเป็นการลงคะแนนแบบ Preferential Voting ผู้มีสิทธิลงคะแนนจะลงคะแนนได้ไม่เกินสาขาละ 5 ชื่อ เรียงตามลำดับชื่อที่ผู้ลงคะแนนเห็นว่าสมควรได้รับรางวัลมากที่สุด ส่วนในรอบ Final หาผู้ชนะ แต่ละคนจะมีสิทธิลงคะแนนได้เพียง 1 ชื่อเท่านั้น ยกเว้นเฉพาะในส่วนของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่เลือกได้ตามจำนวนชื่อที่ได้เข้าชิงในปีนั้น
การลงคะแนนนั้นถือเป็นความลับ ในอดีตใช้วิธีการส่งใบลงคะแนนทางไปรษณีย์ แต่ปัจจุบันทาง AMPAS ได้เปิดให้สามารถลงคะแนนผ่านทาง Online ได้
Awards Daily
การนับคะแนน: รอบหาผู้เข้าชิง
รอบแรก
เมื่อสมาชิกแต่ละคนได้ลงคะแนนเป็นที่เรียบร้อย ทางกองประกวดจะกำหนดเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำในแต่ละสาขา โดยเกณฑ์คะแนนในรอบแรกจะมาจาก 100 หารด้วย จำนวนผู้เข้าชิง+1 หมายความว่า สำหรับรางวัลที่มีผู้เข้าชิงได้ไม่เกิน 5 รายชื่อ คะแนนจะเท่ากับ 100/6 = 16.6% และสำหรับสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่มีรายชื่อผู้เข้าชิงได้ไม่เกิน 10 รายชื่อ คะแนนจะเท่ากับ 100/11 = 9.1% จากนั้นนำเปอร์เซนต์เหล่านี้ ไปเทียบกับจำนวนผู้ลงคะแนนทั้งหมด ก็จะได้คะแนนขั้นต่ำในสาขานั้น ชื่อใดที่มีคะแนนเกินคะแนนนั้นก็จะได้เข้ารอบทันที
การนับคะแนนในครั้งแรกนั้นจะนับเฉพาะชื่อในอันดับ 1 ของผู้ลงคะแนนแต่ละคนเท่านั้น คิดเป็นคนละ 1 คะแนน ใครถูกเลือกเป็นอันดับ 1 ในจำนวนมากกว่าคะแนนขั้นต่ำก็จะได้เข้ารอบไป ส่วนคนที่ได้คะแนนต่ำสุดก็จะตกรอบไป
ตัวอย่างจากเว็บ Awards Daily จะเห็นว่า สาขานักแสดงนำชาย มีผู้ลงคะแนน 797 คน ผู้เข้าชิงที่จะมีได้คือ 5 คน ดังนั้น คะแนนขั้นต่ำคือ (797*16.6)/100 = 133 คน คนที่ผ่านเข้ารอบเลยคือ Chiwetel Ejiofor และ Leonardo DiCaprio ที่ได้ 220 และ 157 คะแนนตามลำดับ และตารางจะยังสังเกตว่า มีผู้เสนอ Leo เข้าชิงจากเรื่อง The Great Gatsby ด้วย ซึ่งก็จะถูกตัดออกไปโดยอัตโนมัติ เพราะได้ชิงจากเรื่องอื่นแล้ว ส่วนคนที่ได้คะแนนต่ำสุดก็จะถูกตัดออกเช่นกัน (ช่องดำ)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการนับคะแนนครั้งแรกมีผู้เข้าชิงแค่ 2 คน ยังเหลือที่ว่างอีก 3 ที่ จึงต้องมีการนับคะแนนกันอีกรอบ โดยในรอบที่ 2 บัตรลงคะแนน (Ballot) ที่ได้เลือก Chiwetel และ Leonardo เป็นอันดับ 1 จะถูกกันออกไป เพราะถือว่า 2 คนนั้นได้เข้าชิงไปแล้ว ส่วนบัตรลงคะแนนของคนที่ตกรอบแรก ก็จะนับคะแนนใหม่และนับเพิ่มเติมในส่วนของชื่อที่เขียนไว้เป็นอันดับ 2 ด้วย แต่ถ้ากรณีชื่อที่เขียนไว้อันดับ 2 เกิดตกรอบไปแล้ว ก็จะไปดูชื่อในอันดับ 3-4-5 ตามลำดับแทน
Surplus Rule
Ballots ชื่อที่ผ่านเข้ารอบไปแล้ว อาจถูกกลับนำมานับอีกได้ในรอบถัดไป ถ้าในรอบแรกชื่อนั้นผ่านเข้ารอบด้วยคะแนนที่สูงมากเกินไป (มากกว่า 20%) แต่ Ballots ใบนั้นจะคิดคะแนนในรอบถัดมาแค่ 0.2-0.7 คะแนนต่อใบเท่านั้น โดยคะแนนจะลดลงในรอบถัดมาแค่ไหน จะดูจากกว่าในรอบแรกคะแนนเกินขั้นต่ำไปเท่าไหร่
ตัวอย่างจากเว็บ Awards Daily สาขานักแสดงนำชาย Chiwetel ผ่านเข้ารอบตั้งแต่การนับคะแนนครั้งแรก ด้วยคะแนน 220 คะแนนคิดเป็น 27.6% ดังนั้นจึงเข้าเกณฑ์ Surplus Rule Ballots ที่เลือก Chiwetel จะถูกนำกลับมานับคะแนนในรอบถัดมาด้วย แต่จะคิดคะแนนแค่ 39% หรือ 0.39 คะแนนต่อใบ ซึ่งตัวเลขนี้ได้จาก ส่วนต่างระหว่างคะแนนที่ได้ในรอบก่อนกับคะแนนขั้นต่ำ หารด้วย คะแนนที่ได้ในรอบก่อน ซึ่งก็คือ (220-133)/220= 0.39
เหตุที่ต้องมี Surplus Rule ก็เพื่อไม่ให้คะแนนเสียเปล่า เพราะบางสาขา Voter อาจแห่ไปเลือกบางชื่อมากเกินไป ซึ่งถ้าตัด Ballots เหล่านั้นออก ก็อาจทำให้เกิดการเสียเปรียบแก่ชื่อที่อยู่ในอันดับรองลงมาใน Ballots ใบนั้นได้
รอบสองเป็นต้นไป
ถ้าการนับคะแนนรอบแรกได้ผู้เข้าชิงไม่ครบ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) ก็จะนับคะแนนในรอบ 2 อีกครั้ง และถ้ายังไม่ครบอีกก็จะนับคะแนนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รายชื่อผู้เข้าชิงครบทั้ง 5 ชื่อ ยกเว้นกรณีสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่จะหยุดนับเมื่อได้ชื่อเกิน 5 ชื่อแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 10 ชื่อ
ตัวอย่างจากเว็บ Awards Daily สาขานักแสดงนำชาย คะแนนจาก Ballots ในรอบนี้คือ 503.24 คะแนน (เนื่องจากคะแนนของ Chiwetel ถูกนำกลับมาคิดแค่ 39% ส่วนของ Leo ไม่นำกลับมาคิด) เก้าอี้ผู้เข้าชิงเหลืออีก 3 ที่ ดังนั้นเปอร์เซนต์ขั้นต่ำในรอบนี้จึงเป็น 100/4 = 25% หรือเท่ากับ 126 คะแนน ซึ่งในการนับคะแนนรอบที่ 2 Matthew Macconaughey ก็ได้สิทธิเข้ารอบไป
ในการนับคะแนนรอบ 3-14 ไม่มีคนใดได้คะแนนเกินคะแนนขั้นต่ำที่ตั้งไว้ แต่ในแต่ละรอบก็จะมีการตัดชื่อที่ได้คะแนนสุดท้ายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในรอบที่ 15 เมื่อเหลือชื่อแค่ 3 ชื่อ 2 ในชื่อคือ Bruce Dern และ Oscar Issaac ก็ได้คะแนนเกินขั้นต่ำสักที จึงได้สิทธิเป็น 2 คนสุดท้ายที่เข้ารอบ
การนับคะแนนรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมนั้นมีการนับคะแนนที่แตกต่างจากรางวัลอื่นนิดหน่อย เนื่องจากรางวัลนี้ปัจจุบันกำหนดจำนวนผู้เข้าชิงไว้ที่ 5-10 เรื่อง ขณะที่รางวัลอื่นกำหนดไว้ไม่เกิน 5 ทั้งนี้ การนับคะแนนจะแบ่งเป็น 3 รอบ รอบแรกและรอบที่ 2 จะใช้วิธีการแบบเดียวกับรางวัลอื่น ส่วนรอบที่ 3 เรื่องใดที่ได้คะแนนเกิน 5% ของจำนวน Ballots ทั้งหมดก็จะได้เข้ารอบไป
ตัวอย่างจากเว็บ Awards Daily สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในการนับครั้งแรก คะแนนขั้นต่ำคือ 102 คะแนน มีผู้ผ่านเข้ารอบ 3 เรื่องคือ 12 Years a Slave, Gravity และ The Wolf of Wall Street ในการนับคะแนนครั้งที่ 2 คะแนนขั้นต่ำยังอยู่ที่ 102 คะแนน ทำให้ American Hustle และ Her เข้ารอบ และการนับครั้งที่ 3 Inside Llewyn Davis, Before Midnight และ Captain Phillips ได้เข้ารอบ เพราะมีคะแนนเกิน 5% ซึ่งเท่ากับ 56 คะแนน
อย่างไรก็ตาม ทาง Awards Daily ก็ยังไม่แน่ใจว่า กติกาจริงๆ ของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ทาง Oscar นั้นกำหนดให้นำ Surplus Rule มาใช้ในการนับครั้งที่ 2 ด้วยหรือให้ใช้เฉพาะการนับครั้งแรกเท่านั้น โดยในภาพ Award Daily ทำให้ดูว่าถ้าในกรณีใช้ Surplus Rule ในรอบ 2 ด้วยจะเป็นอย่างไร
การนับคะแนน: รอบหาผู้ชนะ
การนับคะแนนรอบหาผู้ชนะหรือรอบ Final นั้น หลายปีก่อนใช้รูปแบบ One-man One-Vote แต่ละคนลงคะแนนเสียงได้คะแนนเดียว และชื่อที่ได้คะแนนมากสุดก็จะชนะไป สำหรับปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคง One-man One-Vote อยู่ ยกเว้นในส่วนของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่มีข่าวว่าได้เปลี่ยนมาใช้แบบ Preferential ซึ่งให้ Voter สามารถเลือกหนังเรียงตามลำดับความชอบได้ การนับคะแนนก็จะเริ่มจากชื่อที่ถูกเลือกไว้เป็นอันดับแรกก่อน ถ้าได้เกิน 50% ก็ชนะ ถ้าไม่เกินก็ต้องนับใหม่ โดยในครั้งใหม่จะตัดเรื่องที่ได้คะแนนต่ำสุดออก และนำ Ballot ของเรื่องนั้น มาดูอันดับที่เลือกรองลงมา จากนั้นนำไปบวกให้กับเรื่องที่เหลือ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนได้เรื่องที่ได้คะแนนเกิน 50%
ตัวอย่างจากเว็บ Awards Daily รอบแรก Philomena คนเลือกเป็นอันดับ 1 ต่ำสุด จึงถูกตัดออก และนำไปบวกให้กับเรื่องต่างๆ ที่เหลือ ตามที่ Voter ได้เลือกไว้เป็นอันดับรองลงมา ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในรอบที่ 8 Gravity ได้คะแนนเกิน 50% ชนะไป
ข้อยกเว้น
การนับคะแนนแบบ Preferential Voting นำไปใช้กับเกือบทุกสาขาใน Oscar ยกเว้นสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม ที่มีกฎการนับคะแนนพิเศษที่เฉพาะแตกต่างออกไป ซึ่งจะกล่าวถึงในตอนต่อไป
*****
เรียกได้ว่า การนับคะแนนของ Oscar ค่อนข้างซับซ้อนซ่อนเงื่อนเลยทีเดียว โดยเฉพาะในสาขารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ข้อดีของความซับซ้อนแบบนี้ก็คือ ทำให้สามารถได้หนังและผู้ที่สมควรได้รับรางวัลจริงๆ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้หนังเล็กๆ หรือกระแสไม่ค่อยมี สามารถสู้กับพวกตัวเต็งได้อย่างสูสีขึ้น
- การรักษา Lockjaw - 01/24/2024
- อาการบาดทะยักคืออะไร? - 04/26/2023
- วิธีรักษาซิฟิลิส - 04/24/2023