เก็บตกประเด็นและคำตอบของหลายคำถามจาก Interstellar (Spoil)
ภาษีประชาชน… ช่วงแรกของหนังที่ Cooper ไปหาคุณครูที่โรงเรียนและพูดคุยเรื่องอนาคตการเรียนต่อของ Tom ซึ่งคุณครูไม่แนะนำให้ Tom เรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะเป็นชาวไร่ดีกว่า และปัจจุบันมหาวิทยาลัยรองรับนักศึกษาได้น้อย Cooper เลยตอกกลับว่า เขาก็จ่ายภาษีนะ รัฐบาลเอาไปทำอะไรหมด ฉากนี้เหมือนจะไม่มีอะไรนะ แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน Cooper และ Murphy ไปเจอ NASA ซึ่งมีสถานะเป็นหน่วยงานลับของรัฐบาล แถมยังมีโครงการสำรวจดาวซึ่งคงใช้เงินไม่น้อยแน่ เลยเก็ทว่า อ่อ ภาษีจากประชาชนที่หายไปมันมากองอยู่ที่ NASA นี่เอง
สงคราม… ใน Interstellar เรารู้ว่าโลกขณะนั้นกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหาร จนกระทั่งต้องตัดงบส่วนอื่นๆ แม้กระทั่งกองทัพ ข้อสงสัยก็คือ ในภาวะเช่นนั้น ทำไมโลกยังดูเหมือนสงบสุขอยู่ น่าจะมีแบบรบกันบ้างสิ ซึ่งจากตอนหนึ่งที่ Cooper พูดกับ Brand ผู้พ่อ ที่ว่า “NASA โดนปิดเพราะปฏิเสธทิ้งบอมม์ในชั้นบรรยากาศให้คนอดอยาก” ทำให้พออนุมานได้ว่า โลกในยุคก่อนหน้านั้น น่าจะเคยผ่านการทำสงครามใหญ่ๆ มาแล้ว และเผลอๆ สงครามนี่แหละที่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนจนพืชล้มตายในเวลาต่อมา ผลจากสงครามครั้งนั้นน่าจะทำให้ต่างฝ่ายได้รับผลกระทบไปเยอะ จนเลิกคิดเรื่องสงครามไปพักใหญ่ และต้องมานั่งแก้ปัญหาของตัวเองก่อน
เบสบอล… เป็นกิมมิคเล็กๆ ที่ใส่มาในหนัง ช่วงต้น Cooper และครอบครัวไปดูเบสบอล ก่อนจะเจอกับเหตุพายุฝุ่นดิน ช่วงหนึ่งขณะดู Donald พ่อตาของ Cooper ก็พูดว่า นักเบสบอลที่เล่นอยู่กระโหลกกะลา ไม่ใช่นักกีฬาจริงๆ เหมือนสมัยของเขา พอมาช่วงท้ายของเรื่องหลังจาก Cooper ฟื้นขึ้นมา อย่างแรกที่สังเกตเห็นนอกจากหน้าหมอก็คือ มีคนกำลังเล่นเบสบอลอยู่นอกโรงพยาบาล และดูเหมือนจะเล่นใช้ได้ด้วย เพราะอุตส่าห์ตีข้ามฝั่งไปโดนหลังคาบ้านชาวบ้านได้
ไร่ข้าวโพด… นี่ก็อีกหนึ่งกิมมิคหนัง ช่วงต้น Cooper และลูกๆ ขับรถฝ่าไร่ข้าวโพด เพื่อไล่จับโดรน พอช่วงครึ่งหลังของเรื่อง Murphy ก็ขับรถฝ่าไร่ข้าวโพดอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ขับเพื่อไปหาที่จุดไฟเผาไร่
เบียร์… นี่อาจเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุดในหนัง อาหารขาดแคลนจนคนจะอดตายอยู่แล้ว แต่ยังมีเบียร์ให้กิน?
พ่อชอบการทำไร่… อีกหนึ่งกิมมิคของหนัง ต้นเรื่อง Murphy บอกว่า Cooper ไม่ชอบการทำไร่ แต่พอท้ายเรื่อง Murphy กลับยืนยันว่า Cooper ชอบการทำไร่ที่สุด อาจเพราะถ้า Cooper ชอบทำไร่มากกว่าจริงๆ เขาอาจเลือกไม่เดินทางไปอวกาศ
Cooper… ตกลง Cooper ชื่อจริงว่าอะไร นี่คืออีกหนึ่งข้อสงสัย ในเมื่อตอนท้ายเฉลยว่า Cooper เป็นนามสกุล แล้วทำไม Tom ถึงบอกว่า จะตั้งชื่อลูกว่า Cooper แบบนี้ชื่อนามสกุลไม่ซ้ำกันเหรอ เอ๊ะ! หรือจริงๆ ชื่อว่า Coop แต่ Coop มันคือชื่อย่อของ Cooper ไม่ใช่เหรอ
Tom Cooper… ลูกชายของ Cooper ที่เหมือนจะไม่ค่อยมีบทบาทต่อเรื่องเท่าไหร่ นอกจากใส่มาให้เป็นดราม่ากับ Murphy แต่ถ้าสังเกตตั้งแต่ต้นเรื่องจะพบว่า Tom เป็นคนที่ไม่ค่อยฉลาด และยังไม่กล้าตัดสินใจด้วย ทุกอย่างดูเหมือนจะต้องพึ่งพ่อเป็นหลัก พ่อให้ขับรถก็ขับ พ่อถามว่าอยากเป็นอะไร ก็บอกอยากเป็นเหมือนพ่อ จนมีช่วงหนึ่งตอนที่รถยางแตก Cooper พูดประมาณว่า “พ่อไม่ได้อยู่ด้วยตลอด ลูกต้องคิดเองนะ” ยิ่งตอนหลัง Tom ยังต้องสูญเสียลูกสาว แถมลูกชายก็เป็นภูมิแพ้ฝุ่นอีก ไม่แปลกที่สุดท้าย Tom จะลงเอยด้วยการเป็นคนติดเหล้าแบบนั้น ลูกที่มีพ่อเคยช่วยเหลือทุกอย่าง จนวันหนึ่งพ่อไม่อยู่ ต้องรับผิดชอบตัวเอง และพบว่าตัวเองรับไม่ไหว บางที Tom อาจเป็นคนที่อยากให้พ่อกลับมามากกว่า Murphy ก็ได้ กลับมาช่วยแก้ปัญหาให้กับเขา นั่นทำให้ Tom ยังเลือกที่จะอยู่ที่บ้านหลังเดิมต่อไป และไม่ยอมย้ายออกด้วย
Dr. Mann… ตัดตัว “n” ออก ก็จะเหลือแค่ “man” ที่แปลได้อย่างหนึ่งว่า มนุษย์ (นอกเหนือจากแปลว่า ผู้ชาย) ซึ่งนิสัยเฮียแกก็ออกแนวมนุษย์จริงๆ นั่นแหละ ถึงจะเป็นนักวิทยาศาสตร์แต่ก็ยังยึดติดอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึกอยู่มาก ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือก่อนหน้านั้นทั้งเรื่อง ตัวละครพูดถึง Dr. Mann ในแง่เดียวตลอดคือเป็น “คนที่เก่งที่สุด” ในกลุ่ม พูดแบบนี้หลายครั้ง จนพอมาทบทวนดูแล้ว ก็พอทำให้เข้าใจว่าทำไม Dr. Mann จึงตัดสินใจทำแบบนั้นในเรื่อง เพราะคนมองว่าเขาเก่ง จนเขาเองก็มองว่าตัวเองเก่งด้วย และเกิดเป็นความกดดัน ไม่เหลือพื้นที่ให้ความผิดหวัง ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้น เขาจึงยอมรับความจริงที่ว่าดาวที่เขาพบมันไม่มีอะไรไม่ได้ เพราะมันทำให้รู้สึกว่าเขาไม่เก่งจริงอย่างที่คนอื่นคาดหวัง ลึกๆ เขาก็หวังดีต่อมนุษยชาตินั่นแหละ แต่เป็นความหวังดีที่อยู่บนฐานว่าเขาคือผู้นำในการค้นพบ ผลก็เลยอย่างที่เห็นในหนัง คิดว่าตัวเองเก่ง สามารถแก้ไขทุกอย่างได้ สามารถเทียบยานด้วยตัวเอง ไม่ฟังคนอื่น สุดท้ายก็…
Romilly… ตัวละครที่เหมือนจะเป็นแค่ตัวประกอบ แต่กลับเรียกความสงสารและเห็นใจได้ไม่น้อย ประทับใจตัวละครนี้เป็นการส่วนตัว เพราะเป็นหนึ่งในตัวละครที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และหนังก็พยายามเน้นให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น ช่วงแรกของหนัง Romilly เป็นนักสำรวจอวกาศมือใหม่ มีอาการเมายานอวกาศ ตื่นเต้นกับรูหนอนจนขอให้ยานหยุดลงสักพักเพื่อจะได้ดูชัดๆ หรือแม้กระทั่งกังวลว่ายานอวกาศจะพังจน Cooper ต้องเล่าเรื่องเรือให้ฟัง แต่หลังจากต้องทนอยู่ในอวกาศคนเดียว 23 กว่าปี (จริงๆ ก็มีหุ่น TARS อยู่เป็นเพื่อนด้วย) เราได้เห็นความนิ่งที่ออกแนวปลงตกกับชีวิตแล้วของ Romilly จริงๆ Romilly จะตัดสินใจจำศีลไปตลอดก็ได้ ซึ่งเขาก็บอกว่าเคยแล้ว แต่ก็ตื่นขึ้นมาอีก อาจเพราะยังมีหวังเล็กๆ อยู่บ้าง (เป็นคนอื่นคงสติแตกไปแล้ว) และอีกอย่างคงไม่อยากให้เวลาเสียเปล่า เขาเคยบอกว่าระหว่างรอสำรวจดาว Miller จะใช้เวลาแก้ไขสมการแรงโน้มถ่วงให้สำเร็จ แม้สุดท้ายจะไม่สำเร็จแต่ก็ทำให้ได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อ TARS ที่ได้ข้อมูลในส่วนนี้ไปด้วย การไขสมการอาจเป็นสิ่งเดียวที่ยังติดค้างในใจของ Romilly (ถ้าเกิดไขสำเร็จ แกอาจโยนข้อมูลให้ TARS แล้วตัวเองจำศีลยาวก็ได้) ดังนั้น จึงขอร้องให้ Cooper แวะขอบฟ้าเหตุการณ์ (Even Horizon) ก่อนกลับโลก เสียดายสุดท้าย Romilly ก็ไม่ได้เห็นสมการที่สำเร็จด้วยตัวเอง
Black Hole System… ก่อนเข้ารูหนอน Cooper เปรยมาว่า “ลาก่อนระบบสุริยะ” ก็คงเหมือนเป็นคำบอกลาเล่นๆ แต่เอาเข้าจริงแล้ว…ลาจริง เพราะระบบใหม่ที่ Cooper และพวกไปสำรวจนั้น ไม่ใช่ระบบสุริยะ คือ เป็นระบบดาวที่ไม่ได้มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง หากแต่เป็นระบบหลุมดำ (Black Hole System) ที่ดวงดาวโคจรรอบหลุมดำ “Gargantua” โดยได้รับพลังงานจากแสงที่ถูกดูดมาอยู่บริเวณขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำ ในความเป็นจริง มีการค้นพบระบบดาวที่โคจรรอบหลุมดำบ้างแล้ว สนใจลอง search คำว่า S0-2 S0-102 ได้
ดาวที่มีศักยภาพกี่ดวง… 48 ปีก่อน NASA สังเกตเห็นรูหนอนหลังดาวเสาร์ และได้ค้นพบดาวที่มีศักยภาพทั้งหมด 12 ดวง 10 ปีก่อน NASA ได้ส่งนักสำรวจอวกาศไปยังดาวเหล่านั้นทั้ง 12 ดวง ดวงละคน ในภารกิจ “Lazarus” อย่างไรก็ตาม ทางโลกไม่ได้รับสัญญาณตอบกลับจากนักเดินทาง จึงดำเนินภารกิจถัดมาคือ “Endurance” แต่ด้วยความที่ NASA ไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการสำรวจครบทั้ง 12 ดวง จึงเลือกสำรวจแค่ 3 ดวง เพราะ 3 ดวงนี้อยู่ในระบบเดียวกัน แถมยังใกล้ด้วย อีกอย่างสังเกตว่า คนที่่พูดเรื่องระบบดาว 3 ดวงคือ Brand ผู้ลูก ทำให้สงสัยว่า Brand อาจจะใส่เหตุผลเรื่อง Edmunds เข้าไปในการสำรวจนี้ด้วยหรือป่าว
การส่งสัญญาณ… หลักในเรื่องคือ สัญญาณส่งผ่านจากโลกเข้ารูหนอนทะลุไปอีกกาแล็กซี่ได้ แต่ส่งกลับไม่ได้ อย่างน้อยก็โดยเทคโนโลยีมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่แค่สัญญาณเท่านั้น น่าจะรวมถึงวัตถุหรือแม้แต่ยานอวกาศด้วย เพราะเอาเข้าจริงการออกจากรูหนอนกลับมายังดาวเสาร์ของ Cooper ก็เป็นเพราะสิ่งทรงภูมิปัญญาในมิติที่ 5 ส่งกลับมา ถ้า Cooper กลับเอง อาจจะกลับไม่ได้เหมือนสัญญาณที่ไม่สามารถส่งกลับได้ก็ได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้คุณ LP. E. no SAINT ใน PANTIP เปรียบเทียบว่า คงคล้ายๆ เครื่องดูดฝุ่นที่เครื่องสามารถดูดของเข้าไปข้างในได้ แต่เราจะเอาของออกจากเครื่องขณะยังเปิดเครื่องได้หรือเปล่า
แล้วโลกรู้เรื่องดาวได้อย่างไร… เมื่อสัญญาณส่งกลับมาไม่ได้ ทำไม NASA ถึงรู้ถึงการมีอยู่ของดาว 12 ดวง รวมถึงยังระบุระบบดาว 3 ดวงที่น่าไปสำรวจได้ด้วย คำตอบมีอยู่แล้วในหนังและค่อนข้างชัดเจนคือ NASA ใช้วิธีส่ง Probe ไปโคจรสำรวจรอบรูหนอน ซึ่งรูหนอนนี้มีคุณสมบติให้เราเห็นอีกฟากหนึ่งของรูหนอนได้ ข้อมูลจากการสังเกตของ Probe นี่แหละที่ส่งกลับมาทำให้รู้ว่ามีดาวที่มีศักยภาพกี่ดวง แต่ข้อมูลนี้ยังเป็นแค่การสังเกตการณ์ระยะไกล ต้องอาศัยข้อมูลจากการสำรวจในดาว นี่จึงเป็นภารกิจของ Lazarus และ Endurance ที่ต้องไปหามา ส่วนที่ว่าทำไมท้ายเรื่อง Murphy จึงรู้เรื่องของ Brand กับดาว Edmunds อธิบาย (แบบแถๆ) ได้ว่า ก็รู้จาก Cooper นั่นแหละ Cooper ก็อยู่ในสถานีอวกาศมาอย่างน้อย 2 อาทิตย์ เขาจะไม่เล่าข้อมูลที่ได้มาให้ใครฟังเลยเหรอ
ทำไมโผล่จากดาว Miller มาถึงเสียเวลาไป 23 ปี… ตอนแรกกะลงไปแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง คือประมาณ 7 ปีตามเวลาโลก แต่ดันไปเจอคลื่น เสียเวลาไปอย่างน้อย 1 ชั่วโมงบนดาว แถมยังมีเวลาเอาเครื่องขึ้น เอาเครื่องลงอีก กว่าจะกลับมาก็ผ่านไปแล้ว 23 ปี ตรงนี้หนังอาจรวบรัดตัดต่อไปหน่อยทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปนิดเดียวเอง
ดาว Mann… จริงๆ ดาว Mann ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้เลย เพียงแต่อยู่ได้อย่างมากก็ไม่กี่นาทิ เพราะอากาศเป็นแอมโมเนีย ทำให้หายใจได้แค่ไม่กี่นาที Cooper จึงยังไม่ตายทันทีแม้กระจกหน้ากากจะร้าวแล้วก็ตาม
ดาว Edmund… หายใจได้โดยไม่ต้องใช้ชุดอวกาศ และเหมือนจะสังเกตเห็นทะเลด้วยนะ
Gargantua… เป็นชื่อหลุมดำในเรื่อง ซึ่งคำว่า Gargantua แปลว่า ขนาดใหญ่มาก ดังนั้น จึงพออนุมานได้ว่าหลุมดำในเรื่องเป็นหลุมดำขนาดใหญ่มาก ซึ่งก็จะเข้าเกณฑ์เป็น “หลุมดำมวลยวดยิ่ง” (Supermassive Black Hole) และถ้าหากเป็นหลุมดำประเภทนี้จริง ก็พอจะอธิบายสาเหตุได้ว่าทำไม “Cooper” จึงไม่โดนแรงโน้มถ่วงฉีกร่างขาดขณะลอยเข้าสู่หลุมดำ เพราะหลุมดำมวลยวดยิ่ง Singularity อยู่ห่างจาก Even Horizon มาก จนแรงโน้มถ่วงแบบ Tidal Force ในเขต Even Horizon อ่อนมาก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลส่วนใหญ่บอกว่าหลุมดำมวลยวดยิ่งเกิดบริเวณกลางดาราจักร ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่าแล้ว Gargantua ไปเกิดตรงนันได้อย่างไร
แวะหลุมดำก่อนมั้ย?… ระหว่างที่เตรียมตัวกลับโลก Romilly ขอให้ Cooper และบริเวณ Gargantua ก่อน เพื่อจะลองค้นหาข้อมูลสำหรับไขสมการ หลายคนอาจสงสัยว่า เฮ้ย..ไหนว่าไม่อยากเสียเวลาไม่ใช่เหรอ แล้วไปหลุมดำแบบนั้นไม่เสียเวลาอีกเหรอ จริงๆ ในบทก็บอกไว้แล้วว่า Romilly ไม่ได้หมายความเอายานเข้าไปในบริเวณ Even Horizon แต่ตอนบินผ่านให้ส่ง Probe ซึ่งเป็นยานขนาดเล็กและ Tars เข้าไปสำรวจ โดย Romilly เชื่อว่าด้วยความที่ Gargantua เป็นหลุมดำขนาดใหญ่และแบบหมุน อาจทำให้ Probe มีสิทธิรอดออกมาได้บ้าง
พวกเขาคือใคร… ในหนังไม่ได้ระบุชัดเจน เพราะมันเกินขอบเขตที่จะจินตนาการไปถึง คือจะจินตนาการก็ได้แต่สุดท้ายภาพในจินตนการมันก็จะยังดูมีความเป็นมนุษย์อยู่ดี เหมือนที่ให้เราจินตนาการถึงมนุษย์ต่างดาว ก็ไม่พ้นต้องมีลักษณะคล้ายๆ คน ก็เคยตัดปัญหาไม่ต้องให้เห็นตัวไปเลย ขนาดโลกในมิติที่ 5 หนังยังไม่แสดงให้เห็นโดยตรงๆ ห้องที่ Cooper ไปติดอยู่ก็เป็นการจำลองโลก 5 มิติในแบบ 3 มิติให้ Cooper เข้าใจได้ง่ายขึ้นเท่านั้น การเว้นพื้นที่เกี่ยวกับพวกเขาเอาไว้ ทำให้คนดูมีอิสระที่จะตีความไปได้ บ้างก็ว่าเป็นพระเจ้า บ้างก็ว่าเป็นพวกเราในอนาคตนี่แหละที่มีวิวัฒนาการสูงสุด แต่ทั้งนี้ขอเสนออีก 1 แนวคิด ซึ่งได้จากคำพูดของ Cooper ที่พูดกับ TARS ว่า “ตอนนี้เรายังทำไม่ได้ แต่ในอนาคต อย่างนาย อย่างฉัน จะทำได้แน่นอน” เอ๊ะ! หรือสิ่งทรงภูมิปัญญาในมิติที่ 5 อาจเป็นมนุษย์ที่วิวัฒนาการร่วมกับหุ่นยนต์ จะว่าไปก็เข้าเค้าเพราะข้อมูลมิติที่ 5 ที่ TARS ได้มาอาจเป็นหลักใหญ่ในการเปลี่ยนมนุษย์ให้เข้าถึงมิติที่ 5 ได้ แต่ทั้งหมดนี้มันก็เป็นแค่การคาดเดา เพราะสุดท้ายหนังก็เลือกจะไม่สรุปว่า “พวกเขา” คือใคร เป็นที่น่าสังเกตว่าหนังแนว Hard Sci-fi มักเลือกจะไม่สรุปไปว่า “ผู้สร้าง” หรือ “สิ่งทรงภูมิปัญญาระดับสูง” มีรูปลักษณ์อย่างไร และเป็นใครมาจากไหน
การควบคุมแรงโน้มถ่วง… ถ้าพวกเขาในมิติที่ 5 เก่งถึงขั้นรู้วิธีควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ ก็คงไม่มีปัญหามั้งในการควบคุมแรงโน้มถ่วงใน Singularity และดึง Cooper มายังห้องกาลเวลาได้
หุ่นยนต์… รูปทรงของหุ่นในเรื่องซึ่งมีอยู่ 3 ตัวคือ TARS CASE และ KIPP (ไม่แน่ใจว่าแต่ละตัวย่อมาจากอะไร) น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากแท่งหินประหลาดใน 2001: A Space Odyssey ไม่มากก็น้อย ผสมด้วยรูปทรงของพวก Super Computer ซึ่งจากข้อมูลหนังที่เผยออกมา เป็นความตั้งใจที่จะไม่ให้หุ่นมีลักษณะเหมือนมนุษย์เกินไป จนแย่งซีนมนุษย์ในเรื่อง (แต่แค่นี้ก็แย่งซีนได้พอควร) ลักษณะหุ่นยังออกแบบเพื่อใช้งานประมวลผล มากกว่าจะติดอาวุธเพื่อไปรบด้วย ในจำนวน 3 หุ่นนี้ TARS ถือว่ามีบทบาทเยอะสุด โดยมีการวางบทให้ TARS เป็นหุ่นที่อยู่บนอวกาศกับ Rommily ขณะที่เหลือลงไปดาว Miller ตรงนี้แหละที่เป็นเหตุผลตามมาว่าทำไมต้องเป็น TARS ที่ต้องลงไปในหลุมดำ เพราะ TARS มีข้อมูลสมการแรงโน้มถ่วงที่ Romilly คำนวณไว้คร่าวๆ อยู่แล้ว และ Rommilly ก็เลยบอกกับ Cooper แล้วว่า ตั้งใจจะให้ TARS ลงไปดูหลุมดำ (ตอนที่บอกว่าแวะหลุมดำก่อนได้มั้ยนั่นแหละ)
ทำไม KIPP ถึงพัง… เพราะคำนวณแล้วพบว่า ดาว Mann ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย สร้างความไม่พอใจให้กับ Dr. Mann จนปิดเครื่อง KIPP และเอาพลังงานมาใช้แทน แถมยังตังระเบิดตัวเองไว้อีก เพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ถึงการทำภารกิจไม่สำเร็จของเขา
CASE… ท้ายเรื่องมันขุดดินได้ด้วยนะ
Cooper คุยกับใคร… ในมิติที่ 5 Cooper เหมือนจะคุยกับ TARS เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ลองมาคิดในมุมกลับ ตอนนั้น TARS มาแค่เสียง แต่ไม่เห็นตัว TARS เลย กว่าจะเห็น TARS อีกทีก็ตอนบนสถานีอวกาศในสภาพที่พังแล้ว เป็นไปได้มั้ยว่า ที่ Cooper คุยด้วยอาจจะไม่ใช่ TARS แต่เป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาในมิติที่ 5 ซึ่งอาศัยเสียงของ TARS ในการพูดคุย เพื่อให้ Cooper เกิดความคุ้นเคย
3 สิ่งที่ข้ามมิติได้… Interstellar ระบุว่ามี 3 สิ่งที่สามารถข้ามมิติได้คือ เวลา แรงโน้มถ่วง และความรัก ดังนั้นจึงพอเข้าเค้าว่าทำไม Cooper ถึงเลือกส่งสัญญาณผ่านแรงโน้มถ่วงไปยังนาฬิกา เพราะนาฬิกาเป็นเครื่องบอก “เวลา” แถมยังเต็มไปด้วย “ความรัก” ที่ Cooper มีให้กับ Murphy ด้วย
นาฬิกากระดิก… นี่แหละส่วนที่งงสุดของเรื่อง ทำไมนาฬิกาถึงกระดิกได้ตลอด หรือเพราะแรงโน้มถ่วงมีผลเหนือกาลเวลาจึงทำให้กระดิกได้ทุกช่วงเวลา หรือมันเป็นเรื่องกลไกของนาฬิกาอยู่แล้ว แต่นาฬิกานี่ทนจัง ผ่านมาเกือบ 100 ปี Murphy ยังเอามาใส่โชว์ Cooper ได้
ทำไมพวกเขาไม่คุยกับ Murphy เองละ… เพราะทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว แม้แต่อนาคตก็ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่เหตุผลแบบนี้อาจดูแห้งแล้งไปหน่อย ทำให้โรแมนติกมากขึ้นด้วยการให้เหตุผลว่า ถ้าพวกเขาส่งเอง Murphy อาจไม่มีแรงจูงใจที่จะเข้าไปทำงานกับ NASA จนรู้เรื่องสมการและสามารถไขสมการได้ในที่สุด
อายุของแต่ละคนในเรื่อง… ก่อนเดินทาง Murphy อายุ 10 ปี (อ้างอิงจากที่ Cooper คุยกับ Brand ว่า “ลูกสาวผมเพิ่ง 10 ขวบ”) ส่วน Tom อายุ 15 ปี (อ้างอิงจากที่ Cooper คุยกับคุณครู) ขณะที่ Cooper น่าจะอายุ 35 ปี เพราะ 25 ปีต่อมา ซึ่งเป็นระยะเวลาเดินทางไปดาวเสาร์ (2 ปี) กับภาวะหน่วงเวลาในดาว Miller (23 ปีเศษ) Murphy ก็จะอายุ 35 ปี เท่ากับตอนที่ Cooper จากไปพอดี
ตอนที่ Cooper กลับมาถึงดาวเสาร์ ตอนนั้นอายุตามเวลาของ Cooper คือ 124 ปี (ตามที่หมอบอก) แปลว่า Cooper ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 124 – 35 = 89 ปี แบ่งเป็นเดินทางไปดาวเสาร์ 2 ปี ภาวะหน่วงเวลาดาว Miller 23 ปี ภาวะหน่วงเวลาหลุมดำขณะทำ Sling Shot 51 ปี ที่เหลือก็เป็นเวลาในการเดินทางไปยังดาว Mann รวมถึงภาวะหน่วงเวลาเพิ่มเติมทั้งขาเข้าขาออกหลุมดำรวม อีก 13 ปี ในจำนวนนี้คิดว่า Cooper อาจใช้เวลาหลับพักฟื้นในสถานีคูเปอร์อยู่อีก 2 ปีด้วย เพราะตามที่หมอบอกคือ หลังจากรู้ว่าพบ Cooper แล้ว Murphy ก็เดินทางมาจากโลกทันที แต่ต่อมาก็มีหมออีกคน (มั้ง) บอกว่า Murphy จำศีลมาแล้ว 2 ปี (เท่ากับเวลาที่เดินทางจากโลกมาดาวเสาร์พอดี) ก็ทำให้เดาว่ากว่า Cooper จะฟื้นก็นอนไปแล้ว 2 ปี สำหรับ Murphy ตอนสุดท้ายมีอายุเท่ากับ 124-25 = 99 ปี
ทั้งนี้ นี่เป็นเวลาที่คำนวณตามเวลาโลก แต่ถ้ามองในมุม Cooper เวลาทั้งหมดที่ใช้ในการเดินทางตั้งแต่ไปจนกลับน่าจะแค่ประมาณ 2-6 ปีเท่านั้น (เผื่อเวลาไว้สักหน่อยเพราะไม่รู้ว่าช่วงเศษ 13 ปี โดนหน่วงเวลาไปเท่าไหร่) เวลาของ Cooper นั้นเหมือนกับเวลาของ Brand เพราะทำภารกิจด้วยกันเกือบตลอด และคิดว่าดาว Edmunds ที่อยู่ห่างจากหลุมดำไปไกล คงไม่เจอภาวะหน่วงเวลาสักเท่าไหร่
Dr. Mann หลับไปกี่ปี… อย่างมากก็มี 35 ปี เพราะเดินทางก่อน Cooper 10 ปี บวกด้วยเวลากว่าที่ Cooper จะไปถึงดาว Mann อีก 25 ปี แต่ทั้งนี้ Dr. Mann อาจใช้เวลาจำศีลน้อยกว่านั้น เพราะเราไม่รู้ว่าก่อนจะจำศีล เขาใช้เวลาในการสำรวจดาวจนหมดหวังไปประมาณกี่ปี (ถ้าจำไม่ผิดเหมือน Brand ผู้พ่อจะเคยบอกว่า ด้วยเสบียงและพลังงานที่เตรียมไปอาจอยู่ได้ถึง 10 ปี)
Edmunds ไปไหน… ตายไปแล้ว เพราะกว่าที่ Brand จะไปถึง อย่างต่ำก็เกือบ 90 ปีไปแล้ว เพราะโดนทั้งภาวะหน่วงเวลาที่ดาว Miller ไปจนถึง Even Horizon
Miller ละ… Brand ผู้ลูกคำนวณว่าเขาอาจตายเมื่อประมาณชั่วโมงที่แล้วบนดาว Miller ซึ่งก็เป็นไปได้ง เพราะ 1 ชั่วโมงบนดาวนี้คือ 7 ปี บวกด้วยระยะเวลาเดินทางจากโลกมารูหนอนอีก 2 ปี ก็เริ่มจะใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ Miller เดินทางจากโลก ซึ่งกว่า Cooper จะเดินทางมาถึงก็ 12 ปีให้หลัง
เจอกันแป๊ปเดียวให้ไปซะละ… อธิบายแบบแถๆ ได้ว่า คนพอแก่ตัวลงก็จะเริ่มปลงได้ เหมือนอย่างตอน Romilly ที่ผ่านไป 23 ปี ก็มีความนิ่งมากขึ้น Murphy ก็คงคิดได้แล้วว่า เมื่อเวลาของเธอกับพ่อต่างกันขนาดนี้ ให้พ่อไปอยู่กับ Brand ซึ่งเวลาใกล้เคียงกันน่าจะดีกว่า
เมียตาย… หนึ่งในเอกลักษณ์ของหนัง Nolan เมียหรือแฟนของพระเอกมักจบลงด้วยความตายแทบทั้งนั้น มีอยู่แค่ 2 เรื่องที่ไม่เป็นไรคือ Insomnia ที่พระเอกไม่มีเมีย กับ Batman: Begins ที่นางเอกไม่ตายในภาคนี้ (ภาคต่อมาไม่รอด) ส่วน Interstellar นี่หนักกว่านั้นคือ เมียพระเอกเล่นตายตั้งแต่ก่อนเริ่มเรื่อง ไม่มีโผล่มาให้เห็นสักฉาก
Michael Caine… นับตั้งแต่ Batman Begins เป็นต้นมา หนัง Nolan ต้องมีปู่ Caine มาเล่นด้วย แต่นี่อาจเป็นเรื่องแรกของ Nolan ที่ปู่ Caine ตายในเรื่อง และรู้สึกจะเป็นเรื่องแรกที่ปู่ Caine ไว้หนวดในหนัง Nolan ด้วย
อุตสาหกรรมครอบครัว… Interstellar มีความเป็นอุตสาหกรรมครอบครัวสูง เพราะนอกจาก Nolan กำกับแล้ว ยังมีเมีย Nolan เป็นผู้อำนวยการสร้าง มี Nolan ผู้น้องเขียนบท แถมยังมีลูกสาวของ Nolan มาเป็นตัวประกอบในฉากหนึ่งด้วย (ฉากที่ Murphy ตอนโต สังเกตเห็นเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่บนหลังรถกระบะที่กำลังอพยพออกนอกเมือง เด็กคนนั้นนั่นแหละ) ส่วนนักแสดงและทีมงานก็คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น (ใน The Dark Knight Rises เขายังเคยให้ลุงตัวเองมาเป็นตัวประกอบหนึ่งในบอร์ดบริหารของ Wayne Enterprise ด้วย)
มิติ… เรื่องมิติสูงๆ ยังเป็นแค่เรื่องทฤษฎี แม้จะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยในเชิงทฤษฎีมีความเป็นไปได้ เท่าที่รู้มามีการคำนวณไปถึง 11 มิติ ตั้งแต่มิติที่ 0-11 สรุปคร่าวๆ ตามความเข้าใจของผมได้ดังนี้
- มิติที่ 0 – จุด
- มิติที่ 1 – เส้น
- มิติที่ 2 – ระนาบ (กว้าง x ยาว)
- มิติที่ 3 – ปริมาตร (กว้าง x ยาว x สูง)
- มิติที่ 4 – เวลา โดยเวลาสามารถยืดหรือหดได้ (ภาวะหน่วงเวลา)
- มิติที่ 5 – เวลา สามารถสังเกตเห็นเวลาในแบบกายภาพได้ คือเห็นทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้ แต่แก้ไขอะไรไม่ได้ อาจกล่าวได้ว่า ทุกอย่างกำหนดไว้แล้ว? เหมือนที่ Cooper ก็ไม่สามารถแก้ไขอดีตได้
- มิติที่ 6 – โลกคู่ขนาน เห็นเวลาได้ แก้ไขได้ด้วย และสามารถสังเกตเห็นทุกความเป็นไปในทุกการตัดสินใจ ประมาณมนุษย์ต่างดาวในเรื่อง MIB 3
- มิติที่ 7 – จักรวาลจะมีค่าทางฟิสิกส์บางอย่างกำกับอยู่ มิตินี้คำนวณไปว่าถ้ามีอีกจักรวาลที่ค่าฟิสิกส์แตกต่างละ
- มิติที่ 8 – จักรวาลในแบบมิติที่ 7 แต่คราวนี้มี 3 จักรวาล
- มิติที่ 9 – สามารถพับจักรวาลทั้ง 3 ในมิติที่ 8 เข้าด้วยกันได้ ทำให้เข้าถึงจักรวาลต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
- มิติที่ 10 – จักรวาลจำนวนอนันทต์ ทุกจักรวาลมีค่าทางฟิสิกส์ที่กำกับแตกต่างกันทั้งหมด และแต่ละจักรวาลยังประกอบไปด้วยโลกคู่ขนานที่แตกต่างกันจำนวนนับไม่ถ้วน และเราสามารถเข้าถึงได้ทั้งหมด
ความแตกต่างระหว่างบทร่างดั้งเดิมกับร่างสุดท้าย… เป็นที่รู้กันว่า เดิม Jonathan Nolan ตั้งใจจะเขียนบท Interstellar ให้ Steven Spielberg กำกับ แต่ภายหลังโปรเจคก็เปลี่ยนมือมาอยู่ที่ Christopher Nolan และได้มีการแก้ไขบทร่วมกับน้องชายจนกลายเป็นฉบับที่ออกมา ซึ่งทาง Slashfilm ได้ระบุถึงความแตกต่างของบทร่างดั้งเดิมกับร่างสุดท้ายไว้ดังนี้
- Murphy ในร่างดั้งเดิม เป็นผู้ชาย
- ร่างดั้งเดิมไม่มีเรื่องผีและการส่งสัญญาณผ่านแรงโน้มถ่วง แต่ Cooper ค้นพบ NASA เพราะมียานอวกาศตกลงมาจากฟ้า และส่งสัญญาณจน Cooper และ Murphy ค้นต้นตอไปเจอฐานของ NASA
- ร่างดั้งเดิมไม่มีภารกิจ Lazarus ดังนั้น Dr. Mann จึงไม่มีในร่างดั้งเดิมด้วย
- รูหนอนในร่างดั้งเดิม มีขนาดเล็กกว่าในร่างสุดท้ายมาก
- ร่างดั้งเดิมไปสำรวจแค่ดาวเดียว คือดาวน้ำแข็ง ไม่มีดาว Miller หรือดาว Edmunds
- ในร่างดั้งเดิม สิ่งที่พบบนดาวน้ำแข็งไม่ใช่ Dr. Mann แต่เป็นนักสำรวจอวกาศชาวจีน ซึ่งจีนแอบส่งมาสำรวจก่อน NASA
- ในร่างดั้งเดิม หุ่นยนต์ที่เดินทางมากับนักสำรวจอวกาศชาวจีน ได้ก่อกบฎและสร้างอาณานิคมที่มีหุ่นยนต์เป็นผู้นำขึ้น
- จากข้อข้างต้น ก็ตามพอจะเดาได้ว่ากลุ่มของ Cooper ต้องสู้กับหุ่นยนต์ แถมยังมี Aliens ด้วย
- ร่างดั้งเดิมไม่ค่อยได้กล่าวถึงเรื่องราวบนโลกมากนัก
- ร่างดั้งเดิมให้ Cooper และ Brand ตกหลุมรักกัน และ…มี Sex กันในที่สุด (บนอวกาศนั่นแหละ)
- ร่างดั้งเดิมมีรูหนอนแห่งที่ 2 ข้างหลุมดำ และติดอยู่ในนั้น แต่สามารถออกมาได้โดยใช้แรงโน้มถ่วง (คนละแบบกับในร่างสุดท้าย)
- ร่างดั้งเดิม กลุ่มของ Cooper หลุดจากรูหนอนและไปเจอสถานีอวกาศที่อยู่นอกกาล-อวกาศ (น่าจะคล้ายๆ กับมิติที่ 5 ในร่างสุดท้าย) ที่นั่นพวกเขายังพบ TARS ด้วย
- ร่างดั้งเดิม หุ่นยนต์ค้นพบรูหนอนเช่นเดียวกัน และใช้มันเดินทางกลับโลกก่อน ส่วน Cooper กับ Doyle ตัดสินใจเดินทางกลับโลกผ่านรูหนอนที่พบใหม่ แต่ Brand ไม่เชื่อว่าจะสามารถเป็นไปได้ ถึงย้อนเวลาไปได้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ จึงขอไปสำรวจดาวอื่นแทน สุดท้ายมีเพียง Cooper ที่กลับมาได้สำเร็จ ส่วน Dolye ตายระหว่างข้ามรูหนอน
- ร่างดั้งเดิม Cooper เดินทางกลับมาถึงโลก แต่พบว่าเวลาผ่านไปแล้ว 200 ปี และโลกตอนนี้มีแต่ความหนาวเย็น ไม่มีคนอาศัยอยู่
- ร่างดั้งเดิมมียานมาช่วย Cooper ไว้ และพาไปที่สถานีอวกาศ ที่นั่น Cooper ได้พบหลานชายของ Murphy ส่วน Murphy ได้ตายไปแล้ว ร่างดั้งเดิมจบลงคล้ายๆ กับร่างสุดท้ายคือ Cooper ตัดสินใจไปตามหา Brand ต่อ
Mackenzie Foy… น่ารักมาก
Share
- การรักษา Lockjaw - 01/24/2024
- อาการบาดทะยักคืออะไร? - 04/26/2023
- วิธีรักษาซิฟิลิส - 04/24/2023