[Review] Parks – บทเพลงรักในสวน (Spoil)

หมายเหตุ: มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วน (Spoil)

“Parks” เป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสที่ “สวนอิโนะคะชิระ” (Inokashira Park) มีอายุครบรอบ 100 ปี โดยสวนแห่งนี้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในโตเกียว และเป็นที่เลื่องลือในฐานะจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในโตเกียว อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งคิดว่าพอเป็นหนัง PR สวน แล้วจะต้องมาแบบนั่งบอกเล่าประวัติความเป็นมาของสวน หรือเน้นย้ำจุดเด่นของสวนให้เราฟังเพียงอย่างเดียว นั่นไม่ใช่สิ่งที่หนังเรื่องนี้จะทำ “Parks” มีชั้นเชิงมากกว่านั้น แทนที่จะเล่าโดยตรง หนังเลือกจะถ่ายทอดอัตลักษณ์ของสวนแห่งนี้ผ่าน “ดนตรี” แทน

หนังก็แอบกัดตัวเองว่า ถ้าเล่นแค่เรื่องซากุระ มันคงง่ายกว่านี้ แต่เพราะนี่คือ 100 ปี สวนอิโนะคะชิระ Parks คงอยากให้เราเห็นว่า สวนแห่งนี้นั้นมีดีกว่าแค่ซากุระ แต่มีจิตวิญญาณ มีความผูกพัน ที่หล่อเลี้ยงให้สวนแห่งนี้คงอยู่มาเป็น 100 ปีด้วย เรื่องราวจึงออกมาเป็นชีวิตของ “จุน” (ไอ ฮาชิโมโตะ) นักศึกษามหาลัยที่อาศัยในอพาร์ทเมน์ติดกับสวน ซึ่งได้เจอกับ “ฮารุ” (เมอิ นากาโนะ) เด็กสาว ม.ปลาย ที่กำลังตามหา “ซาชิโกะ” แฟนเก่าของพ่อ ที่เคยอาศัยอยู่ในห้องของจุนมาก่อน เรื่องราวนำพาให้ทั้ง 2 คนได้เจอกับ “โทคิโอะ” (โชตะ โซเมทานิ) หลายชายของซาชิโกะ และการค้นพบเทปเสียงที่ซาชิโกะและพ่อของฮารุเคยร้องเพลงด้วยกันในสวนอิโนะคะชิระเมื่อ 50 ปีก่อน แต่เทปม้วนนั้นกลับฟังได้แค่ครึ่งเดียว พวกเขาทั้ง 3 คน จึงตัดสินใจจะสานต่อบทเพลงที่ขาดหายไปอีกครึ่งนั้นให้จบ

บางช่วงของ Parks ชวนให้นึกถึง “Begin Again” อาจเพราะในหนังมีการทำเพลงโดยใช้เสียงบรรยากาศจริง Begin Again เก็บเสียงเมือง ส่วน Parks เก็บเอาเสียงต่างๆ ภายในสวนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลง ซึ่งนัยหนึ่งก็คือการอยากจะแสดงให้เห็นอารมณ์/กิจกรรมอันหลากหลายที่เกิดขึ้นภายในสวนแห่งนี้นั่นเอง

นอกจากนี้ ทั้ง 2 เรื่องยังมีประเด็นคล้ายๆ กันเรื่องจะคำถามว่าเราควรรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของเพลง หรือปรับเปลี่ยนเพื่อให้ Pop ให้เข้าถึงคนได้มากขึ้นแทน สิ่งนี้เด่นชัดขึ้นเมื่อจุน ฮารุ และโทคิโอะ เริ่มทำเพลงด้วยด้วยกัน แม้ต้องการผลลัพธ์ที่เหมือนกัน แต่แนวทางกลับเริ่มแตกต่างกัน ฮารุทำเพลงเพราะอยากเข้าถึงความรู้สึกของพ่อเธอที่เสียชีวิตไปแล้ว เธอจึงอยากได้เพลงที่สื่อถึงความรักที่เกิดขึ้นในสวนแห่งนี้ ขณะที่โทคิโอะ อยากได้รับการยอมรับ อยากเป็นที่สนใจ (น่าสังเกตว่าเขาอัพทวิตและตื่นเต้นกับยอดวิวทุกครั้ง) เขาจึงยอมที่จะเปลี่ยนเพลงให้มีความ Pop และร่วมสมัยมากขึ้น เพื่อให้มันดัง ด้านจุนที่เหมือนเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง ก็เข้ามาทำเพลงเพียงเพื่อจะใช้เป็นโปรเจคเรียนจบเท่านั้น กว่าจะรับรู้ถึงความเห็นที่แตกต่างนี้ก็เกือบสายไปเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม Parks ก็ยังมีความแตกต่างจาก Begin Again ในหลายเรื่องเช่นกัน ที่สำคัญสุดคือถึงแม้ Parks จะมีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับการทำเพลง แต่ความนัยระหว่างบรรทัดจริงๆ แล้วต้องการการสื่อถึงเอกลักษณ์และสิ่งที่ทำให้สวนอิโนะคะชิระคงอยู่มาได้เป็น 100 ปี การถกเถียงว่าเราควรทำเพลงแบบไหน เอาใจตัวเองหรือเอาใจตลาด ก็คงไม่ต่างจากคำถามว่า สวนอิโนะคะชิระจะเป็นสวนแบบไหน จะคงเดิมเหมือนอดีตที่ผ่านมา หรือปรับปรุงเปลี่ยนใส่ความทันสมัยเพื่อเอาใจคนมาเที่ยวสุดฤทธิ์

คนที่ถูกเลือกให้ค้นหาคำตอบนี้ก็คือ “จุน” การที่หนังเลือกวาง Background ของเธอให้เป็นทั้งคนที่พยายามวิ่งหนีอดีตของตัวเอง (หนีจากชีวิตไอดอลเด็กในอดีต) แต่ขณะเดียวก็ยังไม่รู้จะวิ่งไปยังอนาคตแบบไหน (แฟนก็เพิ่งบอกเลิก แถมไม่รู้จะเรียนจบมั้ย) มันยิ่งทำให้เธอเหมาะเป็นคนตอบคำถามนี้แทนสวนมากขึ้นไปอีก เพราะทั้งเธอและสวนแห่งนี้ต่างก็กำลังตั้งข้อสงสัยว่าตัวเองจะเป็น ควรเป็น หรืออยากเป็นอะไรกันแน่

คำตอบสุดท้ายของหนังอาจไม่ได้เหนือคาด แต่ก็เหมาะสมและสะท้อนเอกลักษณ์ของสวนอิโนะคะชิระมาได้ดีที่สุดแล้ว Parks เลือกเดินทางสายกลาง บทเพลงที่ผ่านการเรียบเรียงใหม่ของพวกเขา แม้จะมีดนตรี มีท่อน Rap ที่สื่อถึงความร่วมสมัย แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีท่วงทำนอง เนื้อหา และอารมณ์ความรู้สึกของแบบอดีตอยู่ คงไม่ต่างจากสวนแห่งนี้ที่ในแง่หนึ่งก็ก้าวเดินไปสู่อนาคต แต่อีกมุมหนึ่งก็ยังคงรักษาอัตลักษณ์การเป็นสวนแห่งความรักที่ทุกคนสามารถมาเข้าถึงได้ การไม่หยุดนิ่ง ปรับตัวเข้ากับยุคสมัย โดยไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง คือสิ่งที่ทำให้สวนแห่งนี้อยู่ได้มาเป็น 100 ปี นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ Parks ต้องการจะบอกมากที่สุด

สิ่งที่อยากเตือนคือ Parks อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน หนังยังมีความเฉพาะกลุ่มและญี่ปุ่นสูง การเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ พาลจะทำให้หลายคนหลับเอาได้ รวมถึงเนื้อหาที่บางทีหนังก็ไม่สนใจจะแยกแยะความจริง ความไม่จริงให้เห็นชัดเจน ก็อาจทำให้งงๆ ในเรื่องราวได้เช่นกัน แต่ถ้าใครชอบหนังที่เน้นบรรยากาศ เรื่อยๆ แต่ค่อยๆ ซึมลงไปในความรู้สึก แบบ “Little Forest” (2014) อีกหนึ่งผลงานของไอ ฮาชิโมโตะ ก็น่าจะติดใจหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก (จริงๆ สนใจอยากดู Parks เพราะชอบไอจาก Little Forest นี่แหละ)

เหนือสิ่งอื่นใด ดนตรีใน Parks นั้นทั้งเพราะและผ่อนคลายมากทีเดียว รวมทั้ง 2 สาวนักแสดงนำทั้งไอและเมอิก็น่ารักมากเช่นกัน แม้จะรู้สึกว่าผมหน้าม้าแอบทำร้ายไอจังหน่อยๆ ก็ตาม เหอะๆ

ดูอะไรต่อดี: Little Forest (2014-2015) ทั้ง 2 ภาค, Begin Again (2013), MV อีกแล้ว – Chilling Sunday (2016)

จุรีพร โนนจุ่น
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)