“Pacific Rim” ใช่ว่าจะเป็นหนังที่สนุกสุดยอดอะไรขนาดนั้น มันก็มีแผล มีจุดอ่อน ความยืดยาดเยอะอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้ในภาคแรกคือ Passion ที่ “Guillermo del Toro” มีต่อสิ่งที่เขารัก ซึ่งก็คือการเติบโตมากับแนวหนังหุ่นยักษ์หรือสัตว์ประหลาดไคจูของญี่ปุ่น แต่กับ “Pacific Rim: Uprising” ที่เปลี่ยนผู้กำกับมาเป็น “Steven S. DeKnight” เรากลับไม่เห็น Passion เหล่านี้เลย หรือถ้าจะมีก็คงไม่ใช่แบบเดียวกับภาคแรก มันคงจะดีกว่าถ้า Pacific Rim ภาคนี้เป็น Transformers เพราะมันจะเป็น Transformers ที่สนุกสุดในรอบหลายภาคเลย (Michael Bay ไม่ร้องนะ..) แต่พอมันปะชื่อ Pacific Rim ไว้ มันก็เลยน่าผิดหวังหน่อยๆ
แต่จริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็น Pacific Rim แล้ว Uprising ก็เป็นหนังดูเอามันส์ที่สนุกไม่น้อย จากการอัดฉาก Action เข้าไป รวมถึงการแก้จุดอ่อนที่คนส่วนใหญ่บ่นๆ จากภาคแรก ไม่ว่าจะเป็น เน้นฉากกลางคืนเกินไป…ภาคนี้เลยเน้นสู้กันกลางวันเป็นหลัก หุ่นตัวรองบทบาทน้อยเกินไป…ภาคนี้เลยเน้นฉาก Action ของหุ่นตัวอื่นมากขึ้น ฉากไคลแมกซ์ไม่พีค เพราะกลางเรื่องพีคกว่า…ภาคนี้วางลำดับ Action ค่อนข้างดี ค่อยๆ ไต่ระดับความมันส์จนไปพีคสุดในตอนท้าย หุ่นจีนตายง่ายไป…ภาคนี้เลยเอาใจจีนเต็มที่ (ส่วนหนึ่งเกิดภาคนี้ได้ก็เพราะพี่จีนชอบภาคแรกมากนี่แหละ) มีตัวละครจีนมากมายอยู่ในเรื่อง จนบางทีก็รู้สึกว่าจะดันบางคนเยอะไปไหน
การพยายามแก้ไขจุดอ่อนจากภาคแรกฟังดูเป็นเรื่องดีนะ แต่ Uprising ก็ดูจะสนใจแต่กับการทำยังไงให้หนังเข้าถึงวงกว้างมากสุด จนสุดท้ายมันก็เป็นหนังสูตรสำเร็จที่ไม่มีจุดยืนอะไรเป็นของตัวเองเลย การเปลี่ยนการเคลื่อนไหวของหุ่นและเหล่าไคจูจากเชื่องช้าให้กลายเป็นรวดเร็ว อาจได้ความมันส์สะใจมากขึ้น แต่ก็แลกด้วยการสูญเสียซึ่งอารมณ์ความกดดันไป อย่างภาคแรกกว่าหมัดจะไปถึง กว่าจะหมุนตัวแต่ละที มันทั้งลุ้นทั้งกดดันว่าจะทันก่อนที่ศัตรูจะโจมตีมั้ย
อีกอย่างเราว่า จุดเด่นของภาคแรกมันไม่ได้มีแค่ตัวหุ่นนะ เพราะว่ากันตามตรง หุ่นใน Pacific Rim มันไม่สวยเอาเสียเลย ดังนั้นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือคนที่อยู่ในหุ่นต่างหาก สิ่งหนึ่งภาคแรกเน้นมากคือการเชื่อมต่อระหว่างพลขับด้วยกัน ที่จะนำไปสู่การเชื่อมต่อหุ่นอย่างสมบูรณ์ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสได้จากภาค Uprising เท่าไหร่ เพราะภาคนี้ดูจะให้ความสำคัญกับการโชว์หุ่นอย่างเดียว ขณะที่เหล่าพลขับกลับเต็มไปด้วยจืดจาง ไม่มีเนื้อเรื่องหรือดราม่าอะไรให้เอาใจช่วยเลย ยิ่งพลขับรองๆ นี่เข้าขั้นตัวประกอบชัดๆ ถ้าไม่นับตัวเอก 2-3 คนแล้ว ที่เหลือเราแทบจำไม่ได้เลยว่าใครขับหุ่นตัวไหนบ้าง ขณะที่ภาคแรกนั้นแม้จะเป็นพลขับรองๆ ก็มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนสอดคล้องกับหุ่นที่ขับจนทำให้เราจำได้
ที่ตลกสุดคือประธานสาวจีนในเรื่อง “Liwen Shao” (Jing Tian) ที่แม้จะน่ารักไม่น้อย แต่บทดูมีความพยายามเอาใจจีนจนล้นเกินไป บทสวิงจากดูร้ายกลายมาเป็นดีอย่างรวดเร็ว แถมช่วงท้ายคุณเธอยังสามารถลุกขึ้นมาขับหุ่นได้เอง ทั้งที่ไม่ได้ปูมาเลยว่าเธอมีความสามารถด้านนี้ กลายเป็นว่าภาคนี้ใครๆ ก็ดูสามารถขับ Jaeger ได้ ไม่ต้องฝึก ต้องทดสอบ ต้องเชื่อมใจกันแบบภาคแรกกันแล้ว
Pacific Rim: Uprising จึงเป็นหนังที่ดูสนุก เฉพาะฉาก Action ออกจะบันเทิงกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ แต่จบแล้วก็จบเลย เพราะความไร้จิตวิญญาณของตัวหนังนั่นเอง