[Review] Moonlight – หนังผิวสีที่ประเด็นไปไกลกว่าสีผิว (Spoil)

แม้จะเกิดเหตุติดขัดอยู่บ้าง แต่สุดท้าย “Moonlight” ก็ได้รับการประกาศให้เป็นหนังยอดเยี่ยมจากเวที Oscars ปีนี้ ซึ่งก็คงทำให้มีคนสงสัยอยู่บ้างว่าอะไรกันที่ทำให้หนังเรื่องนี้ สามารถเอาชนะหนังกระแสแรงอย่าง La La Land ได้ หรือจะเป็นเพียงการตอบโต้ทางการเมืองของ Hollywood ที่มีต่อ Donald Trump ด้วยการเลือกหนังที่นำเสนอเรื่องราวของคนผิวสี ให้กลายเป็นผู้ชนะเท่านั้น

เวลามีหนังดราม่าเกี่ยวกับคนผิวสีในสหรัฐฯ เรามักจะนึกไปว่าคงเป็นแนวเรียกร้องสิทธิ หรือสะท้อนการแบ่งแบกในสังคมสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี แค่บางทีก็มาแนวนี้บ่อยเกิน อย่างไรก็ตาม Moonlight นั้นแตกต่างออกไป หนังมีคนผิวสีเป็นตัวละครหลักก็จริง (แทบไม่เห็นคนผิวขาวในเรื่องด้วยซ้ำ) แต่หนังเลือกจะเล่นกับประเด็น “การค้นหาตัวตน” ซึ่งมีความเป็นสากลและไปไกลกว่าแค่สีผิว

Moonlight แบ่งเรื่องราวออกเป็น 3 ตอน เล่าเหตุการณ์ใน 3 ช่วงเวลา 3 ช่วงวัยของ “Chiron” ตั้งแต่เด็ก (Alex Hibbert) วัยรุ่น (Ashton Sanders) และผู้ใหญ่เต็มตัว (Trevante Rhodes) โดยมีคำถามสำคัญจากหนังก็คือ “Who are you?” จริงๆ แล้วเราเป็นใคร เรานิยามตัวเองว่าอย่างไร หรือที่จริงแล้วเรามีอำนาจในการเลือกเส้นทางของตัวเองได้แค่ไหน

Chiron เป็นคนที่ดูเหมือนจะใช้ชีวิตตามการขีดเส้นของคนอื่น ตั้งแต่เด็ก เขามักโดนตั้งฉายาว่าเป็น “Little” ด้วยรูปร่างที่เล็กของเขา โดนล้อว่าเป็น “ไอ้ตุ๊ด” จากลักษณะนิสัยที่ไม่เหมือนกับเด็กรุ่นเดียวกัน ไปจนถึงการเป็น “ลูกแม่ขี้ยา” คนที่ดูเหมือนจะดีกับเขามีแต่ครอบครัว “Juan” (Mahershala Ali) ที่คอยให้ความช่วยเหลือและสอนเขาหลายเรื่อง กระนั้น Juan ก็ไม่ใช่คนที่ Chiron จะเปิดใจได้ทั้งหมด เพราะเป็น Juan อีกเช่นกันที่ขายยาให้กับแม่ของเขา

เมื่อเติบโตขึ้น สภาพสังคมและคนรอบข้าง ยิ่งทำให้ Chiron ต้องเก็บกดความรู้สึกมากยิ่งขึ้น เขากลายเป็นเป้าของการโดนแกล้งหนักขึ้น เพราะคิดว่าว่า Chiron คงเป็นแค่เด็กแหยๆ ที่ไม่กล้าตอบโต้ แต่เมื่อวันหนึ่งเขาเลือกจะตอบโต้ และเปลี่ยนตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น ไม่ให้ใครมารังแกได้อีก คนที่สนิทกับเขา กลับมองว่า Chiron เปลี่ยนไป และนี่ไม่ใช่ Chiron ที่เคยรู้จัก แล้วเขาควรจะเป็นแบบไหนกันละ นั่นอาจเป็นสิ่งที่ Chiron กำลังนึกอยู่ในใจ

ใน Part 3 ของเรื่อง Chiron ในวัยผู้ใหญ่เต็มตัว กลายเป็นพ่อค้ายากล้ามโต ผิดจากเด็กผอมแห้งในวัยเด็ก ใครๆ ก็เรียกเขากันว่า “Black” แต่นั่นใช่ตัวตนจริงของเขาหรือไม่ ยิ่งเมื่อ Chiron ได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าที่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้นอีกครั้ง เพื่อนคนนั้นกลับถามว่า “Who are You?” ซึ่งช่างจี้ใจดำ Chiron พอควร เพราะบางทีเขาอาจไม่รู้เลยว่า จริงๆ ตัวเองเป็นใคร ได้แต่ไหลตามสิ่งที่สังคมและคนอื่นบีบให้เป็น

Moonlight ไม่ใช่แค่หนังเรียกร้องสิทธิคนผิวสีหรือ LGBT เพราะแก่นหลักไปไกลกว่านั้น และต่อให้เป็นหนังของคนผิวขาว แก่นนี้ก็ยังน่าสนใจอยู่ คงเพราะเหตุนี้ละมั้งทำให้ Oscars ตัดสินใจมอบรางวัลนี้ให้กับ Moonlight (โอเค อาจมีเรื่องการเมืองและความต้องการลบ OscarsSoWhite ในครั้งก่อนลงมาร่วมด้วย)

กระนั้น Moonlight ก็ไม่ใช่หนังที่ดูสนุกนัก หนังดำเนินเรื่องแบบเรียบๆ ให้คนดูซึมซับกับความรู้สึกและตีความสิ่งที่ได้รับเอาเอง โดยส่วนตัว Moonlight จึงเป็นหนังดีที่โอเค แต่ก็ไม่ถึงกับชอบสุดๆ ถ้าตัวเองได้เป็นกรรมการ Oscars คงไม่โหวตให้ Moonlight (แต่ก็ไม่โหวตให้ La La Land อยู่ดี 555 เพราะชอบสุดปีนี้จริงๆ คือ Arrival) อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมีรางวัลไหนที่อยากมอบให้ Moonlight ก็คงเป็นการกำกับ เพราะการสามารถกำกับนักแสดง 3 คน 3 วัย ที่ไม่ได้เคยเจอหน้ากันมาก่อนเลย ให้แสดงดูเหมือนคนๆ เดียวกันได้ขนาดนั้น มันช่างน่านับถือจริงๆ

จุรีพร โนนจุ่น
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)