[Review] Kong: Skull Island – ออร์เดิร์ฟก่อนดู Godzilla vs. King Kong

ยุคนี้แต่ละค่ายต่างก็อยากมีหนัง Franchise เป็นของตัวเอง ซึ่งหลังจากความสำเร็จของ Godzilla 2014 ทำให้ Legendary เห็นลู่ทางที่จะสร้างจักรวาลหนังสัตว์ประหลาด (หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า “ไคจู”) ของตัวเองขึ้นมาบ้าง จนเกิดเป็น “Monsterverse” โดยที่ “Kong: Skull Island” เป็นหนังเรื่องที่ 2 ในจักรวาลนี้ รวมถึงมีการวางแผนล่วงหน้าแล้วว่าในปี 2020 เราจะได้เห็นการปะทะของ 2 ไคจูผู้ยิ่งใหญ่จาก 2 ฝั่งโลกอย่าง “Godzilla” และ “King Kong”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Godzilla จะเจอกับ King Kong ย้อนไปในอดีตเมื่อปี 1962 ทางญี่ปุ่นเคยมีการสร้างหนัง “King Kong vs. Godzilla” ออกมาแล้ว แต่อยู่ๆ จะให้ปะทะกันเลยในปี 2020 ก็คงธรรมดาและเสียโอกาสทางรายได้เกินไป แถม King Kong เองก็เป็นตัวละครในตำนานของวงการ Hollywood อยู่แล้ว อย่ากระนั้นเลยเรามาสร้าง “Kong: Skull Island” กันก่อนดีกว่า

Kong ใน “Kong: Skull Island” นั้นเป็นคนละตัวกันกับ “King Kong” ในหนังเวอร์ชั่นที่ผ่านๆ มา (เวอร์ชั่นล่าสุดคือ 2005) ซึ่งในฉบับเดิมนั้นจะเน้นไปที่ความผูกพันระหว่างตัว King Kong ราชาแห่งเกาะกระโหลก (Skull Island) กับดาราสาว และมีฉากจำที่กลายเป็นตำนานคือฉาก King Kong ปีนตึก Empire State โดยเรื่องราวทั้งหมดจะเกิดในยุคปี 1930’s แต่ใน “Kong: Skull Island” นั้นเรื่องราวจะเกิดขึ้นในยุคปี 1970’s เมื่อทีมสำรวจจากบริษัท “Monarch” (บริษัทเดียวกับที่ศึกษาเรื่องไคจูใน Godzilla 2014) ได้เดินทางไปสำรวจเกาะ Skull Island และพบว่าที่นั่นมี “Kong” ลิงยักษ์วัยหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ปกป้องของที่นี่ ทั้งจากศัตรูภายในอย่างกิ้งก่ายักษ์และศัตรูภายนอกอย่างพวกมนุษย์

ไม่ใช่แค่เป็น Kong คนละตัวเท่านั้น หนังยังมีเลือกแนวทางการเล่าเรื่องที่ต่างจาก King Kong เวอร์ชั่นที่ผ่านๆ มาอย่างสิ้นเชิง ไม่เน้นดราม่า (หรือเน้นแล้วแต่ทำได้ไม่ถึง) แต่ให้ความสำคัญกับการโชว์ของ “ไคจูฟัดกัน” อย่างเต็มที่ ใครที่รู้สึกว่า Godzilla 2014 นั้นเชื่องช้า กว่าตัวเอกจะออกโรงเต็มๆ ก็ปาไปท้ายเรื่องแล้ว น่าจะพึงพอใจกับ “Kong: Skull Island” ในมุมนี้ เพราะหนังเลือกโชว์ตัว Kong ตั้งแต่ไม่กี่นาทีแรก และทั้งเรื่อง ก็มี Kong แบบเต็มๆ ตัว ออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ

หนังมีการออกแบบฉาก “Kaiju Battle” ที่น่าสนใจและดูสนุกไม่น้อย Kong ในเรื่องแม้จะวัยหนุ่มแต่ก็ดูแกร่งกล้าด้านฝีมือและประสบการณ์การต่อสู้ มีไหวพริบปฏิภาณที่สามารถหยิบจับของใกล้มือเพื่อสร้างความได้เปรียบในการต่อสู้ตลอด นั่นทำให้ฉากต่อสู้มีความลุ้นระทึกมากทีเดียว จนเชื่อมั่นได้ว่า เมื่อเข้าสู่ยุคปัจจุบัน Kong ตัวนี้จะเติบใหญ่กลายเป็น King Kong ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับ Godzilla ได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ใน Part มนุษย์เองกลับเข้าขั้นหายนะ ใครที่รู้สึกว่า Part มนุษย์ใน Godzilla 2014 ว่าน่าเบื่อแล้ว Part มนุษย์ใน Kong: Skull Island กลับน่าเบื่อยิ่งกว่า หนังพยายามสร้างซีนเท่ๆ ให้กับตัวละคร แต่มันดูดีเวลาตัดมาเป็นภาพนิ่งหรือคลิปสั้นๆ เท่านั้น เมื่อมาอยู่ในหนังมันกลายเป็นส่วนเกินที่ทำให้หนังไม่ Smooth ยิ่งในส่วนของ Drama ยิ่งแล้วใหญ่ หนังไม่สามารถทำให้เราอินกับดราม่าแต่ละอย่างที่ใส่เข้ามาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นความกระหายสงครามของทหาร การอยากกลับสู่โลกภายนอกของคนที่ติดอยู่ในเกาะ หรือประเด็นการบุกรุกธรรมชาติที่มักจะเป็นประเด็นหลักของหนังแนวนี้ ก็ถูกเล่าอย่างผิวเผินมาก

และแม้หนังจะเต็มไปด้วยนักแสดงดังๆ แต่ดูเหมือนหนังจะใช้ประโยชน์จากนักแสดงเหล่านั้น ในฐานะเป็นเพียงคนเรียกแขกเท่านั้น แทบจะไม่มีอะไรให้จดจำในบทบาทที่แต่ละคนได้รับ จนจบแล้วก็ยังจำชื่อตัวละครที่แต่ละคนเล่นไม่ได้เลย เข้าใจว่าหนังต้องการเน้น Part ของ Kong เป็นหลัก แต่ถ้า Part ของมนุษย์จะจืดจางขนาดนี้ ก็ตัด Part มนุษย์ทั้งหมดออก แล้วเน้นเฉพาะเรื่องของไคจูไปเลยดีกว่ามั้ย

“Kong: Skull Island” จึงเป็นเพียงเหมือนออร์เดิร์ฟจากใหญ่สำหรับการรอดู Godzilla vs. King Kong เท่านั้น หนังฉาก End Credit ที่เปิดสู่ Monsterverse ได้อย่างสวยงาม และมันตอบโจทย์คนที่ต้องการดูไคจูฟัดกันแบบเต็มๆ ได้ แต่ Kong: Skull Island ไม่สามารถทำให้เราจดจำในฐานะหนังเดี่ยวได้ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของ Monsterverse ว่าจะทำยังไงต่อไปกับ Part มนุษย์ เพราะมีปัญหากับ Part นี้มา 2 เรื่องแล้ว คงไม่ต้องถึงขั้นทำดราม่าลึกซึ้งแบบ Shin Godzilla ก็ได้ แต่ก็อย่างน้อยก็น่าจะทำให้มีความน่าสนใจบ้าง เพื่อไม่ให้ไปฉุดรั้งความดีงามของ Part ไคจู ที่ Monsterverse ทำได้ดีมากแล้วแท้ๆ ลง

จุรีพร โนนจุ่น
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)