[Review] Crouching Tiger, Hidden Dragon: Sword of Destiny – ละครจีนหน้าชั้นเรียนของเด็กฝรั่ง

จำได้ว่าตอนประกาศว่าจะสร้าง “Crouching Tiger, Hidden Dragon: Sword of Destiny” นั้นเป็นข่าวอยู่พอควร ทั้งด้วยเหตุการวางตัวเองเป็นภาคต่อของ “Crouching Tiger, Hidden Dragon” ผลงานของ “Ang Lee” เมื่อปี 2000 ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ จุดกระแสความสนใจในจิตวิญญาณตะวันออก ในหมู่ชาวตะวันตกขึ้นอีกครั้ง และอีกผลหนึ่งก็เพราะ Crouching Tiger, Hidden Dragon: Sword of Destiny ยังเป็นเรื่องแรกๆ ของการลงมาทำหนังด้วยตัวเองของ Netflix และฉายพร้อมกันทั้งในโรง IMAX และใน Netflix

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นข่าวคราวของ Crouching Tiger, Hidden Dragon: Sword of Destiny ก็เงียบหายไป คือถ้าส่วนตัวไม่ได้สมัคร Netflix ก็คงไม่รู้ว่าตัวหนังได้ลงฉายไปแล้วตั้งแต่ปี 2016 กระนั้น เมื่อได้ดูตัวหนัง ก็ไม่แปลกใจนักว่าทำไมหนังถึงไม่มีกระแสให้พูดถึงต่อเนื่องเลย นั่นก็เพราะนี่คือภาคต่อที่ “น่าผิดหวัง” “ไม่มีอะไรให้จดจำ” และการพยายามทำให้หนังรสชาติถูกปากตะวันตก กลับยิ่งทำลายแก่นที่ของเดิมมีไว้ ผลสุดท้ายก็คือ “เละ”

ซึ่งสาเหตุความเละ ถ้าดูจากเบื้องหลังงานสร้างก็พอเข้าใจได้ เมื่อหนังภาคนี้เลือกจะใช้มือเขียนบทเป็น “ฝรั่ง” นั่นทำให้ Crouching Tiger, Hidden Dragon กลายเป็นหนังกำลังภายในแบบตะวันตก ที่มีทุกอย่างที่ฝรั่งน่าจะชอบในหนังกำลังภายใน ทั้งวิทยายุทธ์ ศาสตราวุธพิเศษ ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายอธรรม บุญคุณ ความแค้น จอมยุทธ์เร้นลับ ชาติกำเนิดที่แท้จริง ฯลฯ แต่ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า คนเขียนบทรู้เพียงแต่ว่ายุทธภพควรมีอะไร แต่หาได้เข้าใจถึงแก่นของยุทธภพจริงๆ มันเลยออกมาเป็นหนังที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ดูเป็นการแสดงละครชั้นเรียนของเด็ก High School ที่ชักชวนเพื่อนๆ เชื้อสายจีนมาร่วมแสดงด้วยเท่านั้น

ในด้านเนื้อเรื่อง “Sword of Destiny” ดัดแปลงจากนิยาย “ม้าเหล็กแจกันเงิน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ 5 ในนิยายชุด “กระเรียน-เหล็ก” ของ “หวังตู้ลู้” ขณะที่ Crouching Tiger, Hidden Dragon ภาคแรกนั้น ดัดแปลงจาก “เสือซุ่มมังกรซ่อน” อันเป็นเรื่องที่ 4 ในนิยายชุดนี้ เนื้อเรื่องของ Sword of Destiny เล่าถึงยุทธภพภายหลังการตายของ “หลี่มู่ไป๋” (โจวเหวินฟะ) 18 ปี แต่กระบี่ของเขายังอยู่ และเป็นที่หมายปองของพรรคบัวตะวันตกซึ่งต้องการแย่งชิงมาให้ได้ “ซูเหลียน” (มิเชล โหยว) คนรักของหลี่มู่ไป๋ จึงต้องรวบรวมกำลังเพื่อปกป้องกระบี่ให้ได้ โดยได้ผู้ช่วยคนสำคัญคืออดีตคู่หมั่นของเธอเอง “เมิ่งซือเจา” (เจิ้นจื่อตัน) ขณะเดียวกันยังมีเส้นเรื่องของ 2 หนุ่มสาว กับการแก้แค้นและตามหาชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง ซึ่งเกี่ยวพันกับตัวละครสำคัญในภาคก่อน

แก่นของเรื่องถูกลดทอนเหลือแค่เรื่องการแย่งชิงกระบี่ โดยพยายามถ่ายทอดการเสียสละของเหล่าจอมยุทธที่ร่วมปกป้องกันกระบี่ ฝากชื่อไว้ในแผ่นดิน แต่ขอโทษ..ทุกอย่างล้มเหลวไม่เป็นท่า เราไม่ได้รู้สึกเจ็บช้ำไปกับการตายของใครเลย อาจเพราะหนังไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่ากระบี่นั้นมีคุณค่าพอให้ปกป้องด้วย การพยายามยัดประโยชน์ปรัชญากำลังภายในเท่ๆ ในช่วงท้ายของเรื่องจึงไร้ความหมาย เพราะสิ่งที่มีมาก่อนนั้น ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้นเลย

เข้าใจว่าหนังพยายามลดทอนปรัชญายากๆ เพื่อเอาใจตะวันตกเต็มที่ แต่กลายเป็นการทำลายเสน่ห์ไป การเอาใจฝรั่งในที่นี้ยังรวมไปถึงการแคสท์นักแสดงที่บางคนก็หน้าลูกครึ่ง บางคนก็ดูเป็น American Citizen เหลือเกิน หรือฉากบู๊ที่แสนจะก๊องแก๊ง แม้ว่าหนังจะมีผู้กำกับเป็นคนจีนอย่าง “หยวนหวู่ปิง” แต่ดูเหมือนเขาเองก็ยังติดกับดักวงการหนังจีนสมัยใหม่ ที่เน้นความโฉ่งฉ่างและอลังการของฉาก CG มากกว่าเนื้อเรื่องจริงๆ ผลก็คือ Crouching Tiger, Hidden Dragon: Sword of Destiny กลายเป็นอีกเรื่องที่เราอยากจะลืมว่ามีภาคต่อ

จุรีพร โนนจุ่น
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)