“Avengers: Infinity War” เป็นภาคที่ 3 ของ The Avengers และเป็นเรื่องที่ 19 ในจักรวาล Marvel หรือ MCU นับจากจุดเริ่มต้นของ Iron Man ในปี 2008 ตอนนี้ก็ 10 ปีแล้ว เป็น 10 ปีของการหว่านเมล็ด ผูกและส่งต่อเรื่องราว จนออกดอกออกผลกลายเป็นจักรวาลที่ไม่เกินเลยนักถ้าจะบอกว่า “พลิกวงการภาพยนตร์” ไม่เพียงแค่นั้น มันยังเป็น 10 ปีที่คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละครและเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ขนาดส่วนตัวไม่ได้เป็นแฟน MCU ขนาดนั้น แต่ก็ดูแทบทุกเรื่อง ก็ยังอดรู้สึกผูกพันไม่ได้ และความผูกพันนี่แหละคือ จุดสำคัญที่จะทำให้เราดู Avengers: Infinity War อันเป็นเหมือนจุดเริ่มของบทสรุป 10 ปี ได้อย่างสนุกยิ่งขึ้น
และในทางตรงกันข้ามเช่นกัน หากคุณไม่ได้รู้จัก หรือติดตามหนังในจักรวาลนี้มามากพอ หรือจำตัวละครไม่ได้ มันก็ส่งผลต่อความอินที่ลดลงได้เช่น อย่างส่วนตัวไม่ได้ขาดดูหนัง MCU ไปเรื่องนึงคือ Thor: Ragnarok ยังมีงงๆ บ้างในบางจุดเลย หรือต่อให้เป็นเรื่องที่ดูมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะจำรายละเอียดได้หมด บางทีนั่งดูไปก็ต้องมานั่งทบทวนว่า อัญมณีอันนี้มายังไง เคยอยู่ที่ใคร แล้วมาอยู่ที่คนนี้ได้ แล้วคนนี้เคยไปทำเรื่องอะไรไว้ ทำไมคนพวกนั้นถึงคิดแบบนั้น หนังไม่มีมาปูเรื่องอะไรมากมาย เพราะตัวละครเยอะจัดอยู่แล้ว ดังนั้น มันจึงที่เรียกร้องความรู้ในจักรวาล MCU ของจากคนดูพอควร (ซึ่งก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะยิ่งเราพยายามทำการบ้านก่อนไปดูภาคนี้มากเท่าไหร่ มันก็เสี่ยงจะทำให้เราโดน Spoil หนักๆ ได้ด้วยเช่นกัน)
แต่ถ้าสมมติเราไม่อินกับตัวละคร ไม่รู้ หรือจำเรื่องราวที่ผ่านๆ มาไม่ได้จริงๆ ก็คิดว่ายังสนุกได้อยู่นะ เพราะจุดเด่นของภาคนี้คือซีน Action ที่ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของตัวละคร อันมาพร้อมกับพลังในหลายหลากรูปแบบ และหนังก็เก่งพอในการวางให้แต่ละคนได้มีซีนโชว์ของอยู่ แม้มันอาจไม่ใช่ครั้งแรกของ MCU ที่เอาฮีโร่หลายๆ คนมารวมพลังกันสู้ แต่ครั้งนี้ยกมามากกว่าที่เคย และเป็นการต่อสู้ที่ใกล้เคียงคำว่า Epic ที่สุด เพราะ Thanos ก็เป็นตัวร้ายที่ “ร้าย” เสียเหลือเกิน
พูดถึง “Thanos” ถือเป็นตัวร้ายที่โอเคเลยนะ อาจไม่ได้ถึงกับพีคแบบตัวร้ายหนัง Marvel เรื่องหลังๆ แต่ก็ไม่ได้กากเหมือนตัวร้าย Marvel ช่วงแรกๆ แน่นอน คือนอกเหนือจากความร้ายกาจที่นำเสนอผ่านซีน Action แต่ละซีนแล้ว หนังพยายามใส่ดราม่าเข้าไปในตัว Thanos ที่แม้เราจะไม่ถึงกับอินนัก เพราะในจักรวาลนี้ที่ผ่านมาไม่ได้โชว์ความสัมพันธ์ของ Thanos กับตัวละคร “นั้น” ให้เราเห็นมากเท่าไหร่ กระนั้นที่ใส่เข้ามามันก็พอที่จะทำให้ตัวร้าย CG ลอยตัวนี้ ดูมีชีวิตจิตใจจริงๆ ขึ้นมาบ้าง
แม้จะสนุกแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบ มันก็มีแผลมีจุดตงิดๆ พอควร แม้แต่ในฉาก Action ที่บอกว่าเป็นจุดเด่นของเรื่อง มันก็ตั้งอยู่บนข้อตกลงที่ว่า “เราต้องลืมสเกลพลังของฮีโร่แต่ละคนออกไปให้หมดก่อน” เพราะสเกลพลังนี่ค่อนข้างมั่วทีเดียว แบบคนธรรมดาสามารถต่อยกับเอเลี่ยนอันทรงพลังได้อย่างสูสี หรือคนที่่มีพลังถึงขั้นทำลายดวงดาวได้ในพริบตา กลับโดนชาวโลกตบเอาได้เหมือนกัน ถ้าย้อนไปใน The Avengers 2 ภาคแรก รวมไปถึงภาค 2.5 ด้วย (Captain America: Civil War) ตัวหนังตระหนักเรื่องความต่างสเกลพลังของแต่ละคนพอควร ดังนั้น ฮีโร่แต่ละคนจึงได้รับมอบหมายภารกิจที่แตกต่างกัน อันเหมาะสมกับระดับพลังตัวเอง แต่ Infinity War นี่พี่แกแทบไม่สนเลย ลุยกันอย่างเดียว
อีกอย่างคือ ด้วยความที่ Part Action มันโดดเด่นมาก ดังนั้น พอออกจาก Part นี้ เข้าสู่ช่วงการพูดคุยหรือ Drama เราจะรู้สึกถึงความ Drop ลงอย่างชัดเจน บางช่วงนานจนอาจรู้สึกสลึมสลือได้เลย มุขตลกที่ใส่เข้ามาในภาคนี้ ก็ดูไม่ค่อยเข้าเป้าเท่าที่เคย
โดยรวม Avengers: Infinity War จึงอาจไม่ถึงขั้นพีค แต่ก็พอเป็นของขวัญชิ้นแรกให้คนที่ติดตามจักรวาลนี้มาอย่างยาวนานได้อยู่ แต่ว่าไปนี่ Avengers: Infinity War อาจเป็นไม่กี่เรื่องที่คำวิจารณ์อาจไม่มีผลเท่าไหร่ เพราะความรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของปรากฎการณ์นี้มันมีมากกว่าอยู่ดี