[Review] The Wolf of Wall Street – หนังของลีโอ โดยมาร์ติน เพื่อลีโอ

1. มี Martin Scorsese ที่ไหน มี Leonardo DriCaprio ที่นั่น และนี่คือการร่วมงานกันครั้งที่ 5 แล้วของทั้ง 2 ถัดจาก Gang of New York, The Aviator, The Departed และ Shutter Island โดยใน The Wolf of Wall Street นอกจาก Martin จะกำกับและ Leo นำแสดงเช่นเคยแล้ว คร้งนี้ Leo ยังควบเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้างอีกตำแหน่ง

2. ในขณะที่ Martin เป็นผู้กำกับรุ่นเก๋าที่ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน คว้า Oscar ในฐานะผู้กำกับมาแล้วจาก The Departed แถมหนังของเขาก็ก็คว้ารางวัลมาแล้วมากมาย แต่ Leo แม้ฝีมือการแสดงของเขาจะเป็นที่ยอมรับ แต่เขายังไม่เคยสัมผัสกับ Oscar แม้สักตัว

3. The Wolf of Wall Street ชื่อก็พอจะบอกอยู่แล้ววว่าเกี่ยวข้องกับการเงิน เรื่องหุ้น เรื่องการลงทุน ซึ่งก็ถูกต้องเพราะตัวเอกเรื่องนี้ก็คือ “Jordan Belfort” (Leonardo Dricaprio) โบรกเกอร์หนุ่มที่สร้างตัวเองขึ้นมาจากศูนย์ ด้วยเทคนิคการลงทุนแบบต่างๆ ที่ไม่ค่อยจะถูกกฏหมายนัก

4. Jordan Bellfort มีตัวตนจริง เขาคือนักปั่นหุ้นผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศ และทำกำไรจากการปั่นหุ้นช่วงยุคปี 90 ไปหลายร้อยดอลลาร์ ซึ่งก็เป็นตัว Leo เองที่ไปพบเรื่องราวนี้และผลักดันมันให้เกิดเป็นหนังเรื่องนี้ขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ The Wolf of Wall Street จะมีเค้าโครงจากเรื่องจริง แต่เรื่องราวในหนังก็มาจากการแต่งเติมเสริมแต่งเข้าไปพอควร

5. แต่แม้หนังเรื่องนี้จะมีศัพท์เกี่ยวกับหุ้นอยู่มากมาย ซึ่งถ้าพอมีพื้นฐานก็จะทำให้เข้าถึงเรื่องได้มากขึ้น แต่ต่อให้เราไม่รู้เรื่องหุ้นเลย และต่อให้ตามข้อมูลการเงินในเรื่องไม่ค่อยทัน The Wolf of Wall Street ก็ยังเป็นหนังที่ดูสนุกอยู่ดี เพราะแก่นหลักของเรื่องไม่ใช่การหักเหลี่ยมในวงการหุ้น แต่เป็น “การใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยง” ของ Jordan

6. Jordan หาเงินได้เยอะจากการหลอกขายหุ้นคุณภาพต่ำให้กับลูกค้า แต่แทนที่จะเก็ออมไว้ เขาจะใช้มันไปกับเหล้า ยา ปาร์ตี้ ของแบรนเนมด์ ผู้หญิง และกิจกรรมสุดเหวี่ยงต่างๆ อย่างเลี้ยงลิงเป็นสัตว์เลี้ยง ขับเฮลิคอปเตอร์ตอนยังเมา ประชุมไปโด๊ปยาไป เอาคนแคระมาโยนเล่น ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเขา แต่ Jordan ยังสนับสนุนให้คนรอบข้างทั้งเพื่อนและพนักงานมีไลฟ์สไตล์ชีวิตแบบเขาด้วย

7. ข้อน่าสังเกตคือ การใช้ชีวิตแบบหรูหรา อู้ฟ่า และบ้าคลั่งแบบนี้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ Jordan เป็นตั้งแต่แรก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ ต้องแสดง เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเขา “รวย” และต้องยิ่งแสดงให้ล้นเกินกว่าคนรวยปกติเขาทำกัน เพื่อลบภาพความตกต่ำที่เขาเคยเผชิญ แต่ปัญหาคือนานๆ ไปมันกลายเป็นความเสพย์ติดไปซะแล้ว

8. จะว่าไป Jordan ก็คล้ายๆ กับ “Jay Gatsby” (รับบทโดย Leo เช่นเดียวกัน) ใน The Great Gatsby ที่เมื่อกลายเป็นมหาเศรษฐีก็แสดงออกด้วยความล้นเกิน เพื่อลบภาพความจนที่ตัวเองเคยประสบ ไม่ให้คนอื่นรับรู้ ไปจนถึงไม่ให้ตัวเองลืมไปด้วยว่าเคยเป็นอะไรมา เพียงแต่การแสดงออก Jordan มันบ้าระห่ำกว่าของ Jay หลายเท่านัก

9. ขึ้นชื่อว่า Martin Scorsese รับประกันได้ว่าหนังของเขา 18+ แน่นอน เพราะเต็มไปด้วยคำหยาบ ยาเสพย์ติด ฉากโป๊เปลือย ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดยังคงอยู่ใน The Wolf of Wall Street อย่างครบถ้วน ดังนั้น เรื่องนี้ไม่เหมาะกับเด็กนะ

10. รางวัลลูกโลกทองคำจัด The Wolf of Wall Street ให้อยู่ในหมวดหนังตลก ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ตลกแหละ ตลกมากด้วย เป็นตลกที่เกิดจากความบ้าๆ ในพฤติกรรมของตัวละครที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ใครคาดหวังความดราม่า หรือเรื่องราวที่เข้มข้น หักเหลี่ยมกันสุดฤทธิ์ บอกได้เลยว่าเรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับคุณ

11. ด้วยความที่ประเด็นหลักของเรื่องคือการตามติดชีวิตของ Jordan ดังนั้นสิ่งสำคัญสุดก็คือคนที่มาสวมบทบาทนี้ ซึ่ง Leo ก็เล่นบทนี้ได้มีพลัง เปรี้ยว และบ้ามาก บท Jordan ไม่ใช่บทแนวดราม่าหน้าเครียดอย่างที่ Leo ชอบรับในช่วงหลัง แต่เป็นร้าย เจ้าเล่ห์ ตลก ปนน่าสมเพชและน่าหมั่นไส้ไปพร้อมๆ กัน ในลักษณะเดียวกับบท Calvin Candie ที่เขาเคยเล่นใน Django Unchained ซึ่งอยากจะบอกบทแนวนี้แหละที่ Leo คู่ควร

12. ถ้าจะบอกว่า The Wolf of Wall Street คือ หนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อ Leo ก็ไม่ผิดนัก เพราะทั้งเรื่องล้วนส่งเสริมและผลักดันให้ตัว Jordan โดดเด่นขึ้นมา ตลอดทั้งเรื่องเต็มไปด้วยฉากที่เปิดโอกาสให้ Leo ได้ปล่อยของ ซึ่ง Leo เองก็ทำได้มันได้ถึง และเกิดคาดเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะการพูดปลุกใจพนักงาน ที่ฟังแล้วฮึกเหิมจริงๆ หรือจะเป็นตอนเมายา ที่ทั้งฮา ทั้งสมเพช และทั้งน่าเอาใจช่วยไปในขณะเดียวกัน

13. นี่อาจเป็นของขวัญจาก Martin ให้กับ Leo นักแสดงคู่บุญของเขา เพื่อส่งให้ Leo คว้า Oscar มาครองได้สักที ซึ่งบทบาท Jordan Bellfort คือบทบาทที่จะทำให้เขาเข้าใกล้รางวัลนี้ได้มากที่สุด เรียกว่าถ้าไม่ได้ตอนนี้ก็ไม่รู้จะได้ตอนไหนแล้ว อย่างไรก็ตาม Leo ก็ยังมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Matthew McConaughey จาก Dallas Buyers Club คอยขวางอยู่ ซึ่งตัว Matthew ก็มาเล่นรับเชิญให้กับ The Wolf of Wall Street ด้วย ที่แม้จะออกมาไม่กี่นาที แต่ก็เป็นขโมยซีนไปได้สมควร

14. ที่ควรรู้คือ หนังยาวมาก กว่า 3 ชั่วโมง ทั้งที่ตัวหนังไม่ได้มีฉาก Action หรือเป็นมหากาพย์อะไร แม้ว่า Martin จะเล่าเรื่องได้สนุก ทำให้ไม่ค่อยน่าเบื่อ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันนานไปจริงๆ หลายๆ ฉากไม่จำเป็นต้องใส่มาก็ได้ ตัดออกให้กระชับกว่านี้ก็คงดี

15. โดยสรุป The Wolf of Wall Street ในแง่ประเด็นไม่ค่อยมีอะไรนัก แต่มันเป็นหนังที่ดูสนุกและตลก และการได้เข้าไปดูการแสดงของ Leonardo DriCaprio ในเรื่องนี้ ก็คุ้มค่าแล้ว

ความชอบส่วนตัว: 9/10

จุรีพร โนนจุ่น
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)